กลาโหม 25 ก.ย. – นายกฯ เตรียมประชุม ศบค.ชุดใหญ่ 28 ก.ย.นี้ พิจารณาขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน พร้อมชี้แจงรายละเอียดหลังประชุม ยังไม่ยืนยันจะลดระยะเวลาการกักตัวเหลือ 7 วันหรือไม่ ย้ำทุกอย่างต้องดำเนินการตามมาตรฐานสาธารณสุข แต่อาจพิจารณาเป็นรายกรณี
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึง การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ วันจันทร์ที่ 28 กันยายน นี้ เพื่อพิจารณาการขยายเวลาการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบิรหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่จะครบกำหนดวันที่ 30 กันยายน นี้ ออกไปอีก 1 เดือน ว่า ทุกคนทราบดีว่าการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีจุดประสงค์ใด
“วันนี้ ได้กำชับในที่ประชุมวันนี้ ให้มีการป้องกันการลักลอบข้ามมาตามแนวชายแดน ทั้งทางบกและทางน้ำ และให้เข้มงวดมาตรการต่างๆ ต่อไป” นายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ยังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึง ประเทศเพื่อนบ้านของเรา แต่สถานการณ์ในไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ได้รับคำชื่นชมจากต่างประเทศ และนำบทเรียนจากประเทศไทย ไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ
ส่วนการเปิด-ปิดน่านฟ้าของไทยนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังต้องมีการหารือกันต่อไป โดยต้องคำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ว่าจะสามารถผ่อนคลายเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจ ที่ต้องเข้ามาดูแลกิจการในไทย ที่อาจจะเข้ามาในระยะเวลาสั้นๆ จึงต้องหาแนวทางว่าจะดูแลกลุ่มนี้อย่างไร ส่วนกรณีของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาในอนาคต ก็ต้องเตรียมมาตรการรองรับในเรื่องสถานที่กักตัว
“รัฐบาลได้ทำงานเชิงรุก ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหารายวัน จึงต้องคิดแผนงานไว้ล่วงหน้า และทำงานบูรณาการร่วมกัน เป็นการทำงานที่สอดคล้องกับการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหมือนกับหลายประเทศที่ใช้ล็อคดาวน์อยู่เช่นกัน เพราะกฎหมายปกติไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ โดยมาตรการทั้งหมดจะมีการชี้แจงภายหลังการประชุมในวันจันทร์ที่ 28 กันยายน นี้” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ต่อกรณีที่อาจจะมีการเสนอให้ลดระยะเวลากักตัวจาก 14 วัน เหลือ 7 วัน โดยมีการตรวจหาเชื้อแบบเข้ม 2 ครั้ง เมื่อกักตัวครบกำหนด 7 วัน หากไม่พบเชื้อ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดถึงจำนวนของวัน แต่ต้องไปหาวิธีการว่า ผู้ที่เดินทางเข้ามา มาเพื่อภารกิจใด เช่น ถ้าเป็นนักธุรกิจที่เข้ามาระยะสั้น อาจจะทำเช่นเดียวกับกรณีของผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐฯ ที่มีทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงคอยดูแลติดตามตลอด เรื่องนี้จะต้องวางแผน เพื่อเป็นการเตรียมรับมือเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญ คือประชาชนจะต้องเข้าใจ ถ้าไปปลุกระดมให้ไม่เข้าใจกัน หรือปฏิเสธกันไปหมด ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
“สิ่งสำคัญ อยากให้ทุกคนมั่นใจในระบบสาธารณสุขของไทย และการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในการตรวจสอบคัดกรองและป้องกันการแพร่ระบาด ถ้าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยที่เดือดร้อน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดูแล ทั้งด้านสุขภาพและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” นายกรัฐมนตรี กล่าว .- สำนักข่าวไทย