กทม. 29 ก.ค. – จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ที่ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 หลุดข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คือ 2 พยานบุคคลใหม่ ที่ให้การอ้างเห็นผู้เสียชีวิตขี่รถปาดหน้า และความเร็วรถไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนอดีตอัยการสูงสุดระบุการทำงานของอัยการต้องรวดเร็ว โปร่งใส
ภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพรถเฟอร์รารี่ของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเจ้าของเครื่องดื่มชูกำลัง ที่ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อปี 2555 คือหลักฐานสำคัญที่คณะทำงานตรวจพิสูจน์หลักฐานทางคดีนำมาใช้คำนวณความเร็วด้วยหลักทางฟิสิกส์ เพื่อประกอบในสำนวน ผลคำนวณความเร็วตามกระบวนการวิทยาศาสตร์พบว่า นายวรยุทธขับรถเฟอร์รารี่ เฉลี่ย 177 กิโลเมตร/วโมง ขณะเดียวกันยังตรวจวิเคราะห์วิถีการชนจากร่องรอยที่ปรากฏบนรถทั้งสองคัน ระบุถึงลักษณะการพุ่งชน เป็นการพุ่งชนมาจากด้านหลัง เพราะโครงสร้างด้านหลังรถจักรยานยนต์ของ ด.ต.วิเชียร บิดไปด้านหน้าอย่างเดียว ไม่ได้บิดไปในทิศทางซ้ายหรือขวา ซึ่งหมายความว่า เป็นการชนท้าย ไม่ใช่การปาดหน้า
ต่อมากลับพบว่าในสำนวนมีพยานบุคคล 2 คน ซึ่งถือเป็นพยานใหม่ ให้การอ้างว่าขับรถตามนายวรยุทธ เห็น ด.ต.วิเชียร เป็นผู้ขี่รถจักรยานยนต์ไปตัดหน้ารถเฟอร์รารี่ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ และระบุความเร็วของรถเฟอร์รารี่ในขณะนั้นว่าไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก่อนหน้านี้
อดีตนักวิทยาศาสตร์ กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานตรวจพิสูจน์หลักฐานในคดีนี้ให้ข้อมูลว่า ขณะนั้นมีการตรวจพิสูจน์หลักฐานใน 2 จุด คือ ความเร็วของรถที่นายวรยุทธเป็นผู้ขับ โดยคำนวณด้วยหลักฟิสิกส์ และวิเคราะห์วิถีการชน หลักฐานทั้งสองอย่างถือว่ามีความแม่นยำ เพราะมีหลักการที่พิสูจน์ได้
มีข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้ทีมกฎหมายของนายวรยุทธ มีความพยายามยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการหลายครั้ง แม้เคยรับคำร้อง และสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามคำร้อง แต่ก็มีคำสั่งยุติไม่ให้นำพยาน 2 ปากเข้าสำนวน เพราะเคยให้การตั้งแต่แรก ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ต่อมาทีมกฎหมายได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมไปยังคณะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ ของ สนช. จนเรื่องถึงอัยการสูงสุด และมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบสวนเพิ่ม จนคำให้การของพยาน 2 คน ปรากฏเข้าไปในสำนวน และท้ายที่สุดอัยการสูงสุดมีคำสั่งยกฟ้องเด็ดขาด จนเกิดการตั้งคำถามว่า การยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมครั้งนี้มีเบื้องลึกหรือไม่
นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด อธิบายว่า การร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้เสียหาย แต่สิ่งที่สำคัญคือ การทำหน้าที่ เช่น การสั่งคดีต้องดำเนินไปอย่างโปร่งใส และมีเหตุผลรับรอง ส่วนการพิจารณาสั่งฟ้อง หรือไม่ฟ้อง เป็นอำนาจของอัยการ และขึ้นอยู่กับดุลยพินิจที่จะพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน อย่างคดีอาญาที่มีหลักการทำงานคือ ตรวจสอบความจริง พยานหลักฐาน เช่น พยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือแม้แต่พยานบุคคล ก็ถือว่ามีน้ำหนักที่สามารถจะพลิกคดีได้เช่นกัน แต่คำให้การต้องสมเหตุสมผล
อดีตอัยการสูงสุดยังตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานของอัยการที่มีความล่าช้า ทั้งที่คดีเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2555 แต่ผ่านมาเกือบ 8 ปี แต่กระบวนการติดตามตัวผู้ก่อเหตุมารับโทษกลับไม่คืบหน้า จนมีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด แม้ในวันนี้มีการเปิดช่องโดยไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีเอง หากมีพยานหลักฐานใหม่ แต่ที่ผ่านมาก็พบกรณีนี้ไม่บ่อยมากนัก เพราะแม้จะมีหลักฐานใหม่ก็จะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบว่าหลักฐานนี้มีน้ำหนักพอหรือไม่ ก่อนจะออกหมายจับและดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมได้. – สำนักข่าวไทย