กกต. เปิดแล้วคำวินิจฉัย “หมอเกศ” ใช้ตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” หลอกลวง

กกต. 21 ก.ค.-กกต. เปิดแล้วคำวินิจฉัย “หมอเกศ” ใช้ตำแหน่ง “ศาสตราจารย์” หลอกลวง ให้ได้มาซึ่งการลงคะแนนเลือก สว. ไม่พบหลักฐานได้รับแต่งตั้ง หลังมีมติยื่นศาลฎีกา เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และดำเนินคดีอาญา

เว็บไซต์สำนักงาน กกต.ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต.รวม 13 หน้า ที่มีมติเมื่อวันที่ 30 เม.ย.68 ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของนางสาวเกศกมล เปลี่ยนสมัยตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิก วุฒิสภา 2561 มาตรา 62 และรัฐธรรมนูญมาตรา 226 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่ น.ส.เกศกมล ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561มาตรา 77 (4) กรณีใช้ตำแหน่งศาสตราจารย์ในการยื่นสมัครและแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา


คดีนี้มีผู้ร้อง น.ส.เกศกมล รวม 7 รายร้องใน 6 ประเด็น ซึ่งมีข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกันว่า น.ส.เกศกมล สมัครรับเลือกเป็น สว. กลุ่มที่ 19 โดยระบุในข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร (สว.3) ในส่วนของประวัติการศึกษาและประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน กรมสุขภาพจิต แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง และเป็นกรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏจากรายงานผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพชรบุรี ลงวันที่ 15 มิ.ย.67 ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าน.ส.เกศกมล แนะนำตัวในแอปพลิเคชันไลน์กลุ่มชื่อ เส้นทาง สว.67 # ตะวันตก ด้วยข้อความว่า “สวัสดีค่ะ หมอเกศค่ะ ศาสตราจารย์ ดร.พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย เป็นหมอด้านสุขภาพจิต ชุมชนและผิวพรรณความงามค่ะ กลุ่ม 18 ผู้ประกอบวิชาชีพ จังหวัดเพชรบุรี ค่ะ” ซึ่งเข้าข่ายหรือมีลักษณะ เป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณ ของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 77 (4)

น.ส.เกศกมล ชี้แจงแก้ข้อหาเป็นหนังสือยืนยันว่ามิได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา ตนเองสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี แพทยศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต โดยได้รับอนุมัติจากสภามหาวิทยาลัยรังสิตให้เป็นแพทยศาสตรบัณฑิตตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 และได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นสมาชิกแพทยสภาตั้งแต่ปี 50 และเริ่มประกอบอาชีพแพทย์ทั่วไป ต่อมาประกอบอาชีพเป็นแพทย์ประจำคลินิกเสริมความงาม อีกทั้งผ่านการอบรมระยะสั้นจากสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งภาครัฐและเอกชนประมาณ 30 ครั้ง และได้รับใบอนุญาตให้ประกอบ กิจการสถานพยาบาลชื่อว่าเกศกมล คลินิกเวชกรรม รวมระยะเวลาปฏิบัติงานเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณ และความงามมานานกว่า 10 ปี


ส่วนที่กล่าวหาว่า น.ส.เกศกมล ระบุในส่วนประวัติการศึกษาว่า ปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, USA และศาสตราจารย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Professor in Human Resource Development) California University และระบุประวัติการทำงานหรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง

น.ส.เกศกมล ชี้แจงข้อกล่าวหาเป็นหนังสือว่า มิได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ตามข้อกล่าวหา โดยตนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต และได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ จาก California University ซึ่งเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่จดทะเบียนถูกต้องและได้รับการรับรองจากกระทรวง ศึกษาธิการของประเทศสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยเมื่อปี พ.ศ. 2564 ขณะตนกำลังศึกษา ระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเกริก ตนได้พบกับพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนของ California University FCE ประจำประเทศไทย ชักชวนให้ตนเรียนปริญญาเอก ซึ่งตนสนใจเข้าศึกษาปริญญาเอก ใช้ระยะเวลา ในการศึกษาประมาณ 3 ปี และชำระค่าใช้จ่ายในการศึกษา 6 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 2,000ดอลลาร์สหรัฐ รวมค่าใช้จ่าย 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยตนได้ทำดุษฎีนิพนธ์ เรื่อง GOOD GOVERNANCE PRINCIPLES AFFECTING ORGANNIZATION EFFICIENCY OF PUBLIC COMPANIES IN ASEAN COUNTRIES โดยส่งผ่าน พยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 2 และมีคณะกรรมการในการสอบดุษฎีนิพนธ์จำนวน 3 คน เป็นผู้ตรวจสอบ โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการระดับศาสตราจารย์ สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ส่วนที่ตนระบุว่า ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย เพราะตนมีหลักฐานการสำเร็จการศึกษา ดุษฎีบัณฑิตและได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แต่ไม่เคยทำงานในตำแหน่ง ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย แต่อย่างใดนั้น

จากการตรวจสอบและไต่สวนได้ข้อเท็จจริงว่า ขั้นตอนในการรับรองคุณวุฒิของผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ และการรับรองคุณวุฒิของ California University FCE สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนตรวจสอบแล้วไม่พบว่า น.ส.เกศกมลได้ส่งข้อมูลคุณวุฒิการศึกษาให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนพิจารณารับรองคุณวุฒิ หรือรับรองคุณวุฒิเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน


ขณะที่ตำแหน่งวิชาการศาสตราจารย์ไม่พบว่ามีชื่อ น.ส.เกศกมล อยู่ในฐานข้อมูลผู้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) และคณะกรรมการ การอุดมศึกษา (กกอ.) กำหนด ประกอบกับไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีสถาบันอุดมศึกษาใดเคยขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พิจารณาดำเนินการเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุคคลดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์แต่อย่างใด และจากการตรวจสอบข้อมูล ปรากฏว่า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ยังไม่เคยพิจารณาเทียบคุณวุฒิการศึกษา จาก California University และ California University FCE

กรณี น.ส.เกศกมล ระบุประวัติการศึกษาว่า ปริญญาเอก รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (Doctor of Political Science) California University, U.S.A.” กกต.เห็นว่า เนื่องจากยังไม่มีบุคคลใดหรือองค์กรใดนำวุฒิการศึกษาจาก California University FCE ไปยื่นเพื่อเทียบวุฒิต่อคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเพื่อเข้ารับราชการ อีกทั้งไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นที่ยืนยันได้ว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายตามข้อกล่าวหา จึงน่าเชื่อว่าการที่ น.ส.เกศกมลแนะนำตัวในส่วนของประวัติการศึกษาดังกล่าว ยังไม่เป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติความรู้ความสามารถ

แต่กรณีศาสตราจารย์ที่ น.ส.เกศกมล ระบุประวัติการศึกษาว่า ศาสตราจารย์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และระบุประวัติการทำงาน หรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า “ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย” นั้น ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า น.ส.เกศกมล มิได้มีตำแหน่งทางวิชาการศาสตราจารย์ตามหลักการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวข้างต้นของประเทศไทย อีกทั้งพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 3-11 ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาและเป็นผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศ ให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร ซึ่งระบุว่า “ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย “มีผลจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ น.ส.เกศกมล ดังนั้น จึงเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง

นอกจากนี้ กรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏเกี่ยวกับการใช้ภาพถ่ายสวมชุดครุยวิทยฐานะโดยไม่มีสิทธิในการสมัคร สว.นั้น เห็นว่า น.ส.เกศกมล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเกริก จึงมีสิทธิใส่ชุดครุยวิทยฐานะของวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยเกริก และกรณีใส่ชุดครุยของ Universal Institute of Professional Management น.ส.เกศกมล จึงมีสิทธิใส่ชุดครุยวิทยฐานะดังกล่าว จึงมีคำสั่งในประเด็นที่ 1-5 กรณีวุฒิการศึกษา ให้ยกคำร้อง

ประเด็นที่ 6 กรณีศาสตราจารย์ ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของน.ส.เกศกมล ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิก วุฒิสภา มาตรา 62 และรัฐธรรมนูญมาตรา 226 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่นางสาวเกศกมล ตามมาตรา77(4) กรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏจากรายงานการไต่สวนเพิ่มเติมจำนวน 3 กรณีให้ยุติเรื่อง

ทั้งนี้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.2561 มาตรา 77 บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการ (4) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้สมัครใด เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือก เป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใดๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือเพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 20,000 -200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี.-314.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ปลัด ศธ. แจง “รมว.นฤมล” ลงใต้ ไม่เน้นพิธีรีตอง

กทม. 21 ก.ค.-ปลัด ศธ. แจงภารกิจแรก “รมว.นฤมล” ลงใต้ ไม่เน้นพิธีรีตอง กำชับ “ครู-นักเรียน” วันหยุดใส่ไปรเวทได้ ไม่ต้องแต่งชุดเต็มยศมารอต้อนรับ ขอลงพื้นที่ไม่ให้ใครลำบาก จากกรณี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 18-20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีการแต่งกายใส่กางเกงยีนส์ขาด รองเท้าผ้าใบ พบปะบุคลากรการศึกษา ครูและนักเรียน ที่มารอต้อนรับ เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียล การแต่งกายไม่เหมาะสมกับบทบาทของผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงศึกษาธิการ และไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการแต่งกายของข้าราชการโดยทั่วไป นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกระแสวิจารณ์การแต่งกายของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ การลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดสุราษฎร์ธานีระหว่างวันที่ 18 – 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ว่า ถือเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกตั้งแต่ ศ.ดร.นฤมล มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ยังไม่ได้มีการพูดคุยและทำความเข้าใจในเรื่องการแต่งกายของคณะครูและนักเรียนที่มาร่วมกิจกรรมในวันหยุดราชการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมาด้วยชุดสุภาพ เพราะเห็นว่ามีผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชามาร่วมลงพื้นที่ด้วย ศ.ดร.นฤมล ได้กำชับมาว่าการลงพื้นที่ในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ ถือว่าไม่ได้เป็นวันทำงานปกติ […]

สึกแล้ว! “พระธรรมวชิรธีรคุณ” อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์

20 ก.ค.- สึกกลางดึก! “พระธรรมวชิรธีรคุณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ลาสิกขาแล้วที่วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง นายบุญเชิด กิตติธรางกูร รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เผยได้รับรายงานจาก ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครสวรรค์ ว่า “พระธรรมวชิรธีรคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ลาสิกขาแล้ว ณ พระอุโบสถ วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง เวลา 23.49 น.” ขณะที่ก่อนหน้านี้ เลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ได้แจ้งว่า “พระธรรมวชิรธีรคุณ” ขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสวรรค์และเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ -สำนักข่าวไทย

Astronomer CEO caught by kiss cam in Coldplay concert

CEO ลาออกหลังถูกแฉกลางคอนเสิร์ต Coldplay

ซินซินแนติ 20 ก.ค. – บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐแจ้งเรื่องซีอีโอลาออกแล้ว หลังจากช่วงเวลาขณะกอดกับผู้บริหารของบริษัทที่ไม่ใช่ภรรยาถูกจับภาพไปปรากฏบนจอภาพกลางคอนเสิร์ตวงโคลด์เพลย์ (Coldplay) และกลายเป็นคลิปไวรัลทั่วโลก แอสโตรโนเมอร์ (Astronomer) ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีผู้ให้บริการข้อมูลองค์กรเผยแพร่แถลงการณ์ผ่านเอ็กซ์ ( X) ว่า บริษัทยึดมั่นในคุณค่าและวัฒนธรรมที่นำทางองค์กรมาตั้งแต่ก่อตั้ง ผู้นำบริษัทถูกคาดหวังว่าจะต้องสร้างมาตรฐานด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบ แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น นายแอนดี บายรอน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอของบริษัท และคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้ลาออกแล้ว แถลงการณ์ให้คำมั่นว่า บริษัทจะเดินหน้าทำในสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด คือ การให้บริการแก้ปัญหาข้อมูลและเอไอ (AI) ให้แก่ลูกค้าต่อไป เรื่องราวอื้อฉาวนี้เกิดขึ้นในคอนเสิร์ตวง Coldplay ที่สนามยิลเลตต์สเตเดียม ในเมืองฟอกซ์โบโร รัฐแมสซาชูเสตต์เมื่อคืนวันที่ 16 กรกฎาคม เมื่อกล้องคิสแคม (kiss cam) ของคอนเสิร์ตจับภาพเจอชายหญิงคู่หนึ่งยืนกอดกันในโซนวีไอพี ซึ่งชายหญิงคู่นี้ไม่ใช่คู่รักธรรมดา แต่เป็นนายบายรอน ซีอีโอของแอสโตรโนเมอร์ และคริสติน คาบอต หัวหน้าฝ่ายพัฒนาทรัพยากรบุคคลหรือเอชอาร์ (HR) ของบริษัท เมื่อรู้ตัวว่าภาพถูกฉายขึ้นจอ ฝ่ายหญิงรีบเอามือปิดหน้าและหันหลังให้กล้อง ส่วนฝ่ายชายรีบนั่งลงให้พ้นจากมุมกล้อง ในจังหวะเดียวกันนั้น คริส มาร์ติน นักร้องนำของวง Coldplay ได้พูดแซวว่า […]

Hong Kong braves heavy rain and strong winds as typhoon Wipha approaches

ฮ่องกงเตือนภัย “ไต้ฝุ่นวิภา” ระดับสูงสุด

ฮ่องกง 20 ก.ค.- ฮ่องกงประกาศเตือนภัยระดับสูงสุดในวันนี้ เนื่องจากไต้ฝุ่นวิภา (Wipha) ที่มีความเร็วลมมากกว่า 167 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรงทั่วฮ่องกง และทำให้ต้องยกเลิกเที่ยวบินมากกว่า 200 เที่ยว สถานีอุตนิยมวิทยาของฮ่องกงยกระดับเตือนภัยพายุ จากหมายเลข 9 ที่ประกาศเมื่อเวลา 07.20 น.วันนี้ตามเวลาท้องถิ่น เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง เป็นหมายเลข 10 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเมื่อเวลา 09.20 น. และคาดว่าจะคงระดับเตือนภัยสูงสุดไปอีกระยะหนึ่ง สถานีอุตุนิยมวิทยาฮ่องกงพยากรณ์ว่า ไต้ฝุ่นซึ่งมีกำลังลมแรงเท่ากับเฮอริเคนจะเคลื่อนตัวเฉียดสถานีฯ โดยห่างลงไปทางใต้ราว 50 กิโลเมตร และส่งผลกระทบกับพื้นที่ทางใต้ของฮ่องกง สายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิคของฮ่องกงได้ยกเลิกเที่ยวบินขาเข้าและขาออกทั้งหมดตั้งแต่เวลา 05.00-18.00 น.วันนี้ ขณะที่บริการขนส่งมวลชนส่วนใหญ่ในฮ่องกง รวมถึงบริการเรือโดยสารข้ามฟากถูกระงับเพื่อความปลอดภัย.-814.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

โฆษก ทบ. เผยนานาชาติเข้าใจไทยเคลียร์ปมทุ่นระเบิด

กองทัพบก 22 ก.ค.- โฆษก ทบ. เผยเคลียร์ปมทุ่นระเบิด นานาชาติเข้าใจไทย ขณะผู้ช่วยทูตทหารกัมพูชานั่งนิ่งไม่โต้แย้ง – ให้กองทัพภาคที่ 2 ประเมินสถานการณ์หลังคนไทยนัดรวมตัวปราสาทตาเมือนธม ปลายเดือนนี้ พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวภายหลังการเชิญผู้ช่วยทูตทหาร รับฟังคำชี้แจง​สถานการณ์​ชายแดน​ไทย​- กัมพูชา​ หลังกำลังพลเหยียบกับระเบิดบาดเจ็บ​ 3 นาย​ ว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ส่วนใหญ่เป็นการรับฟังและมีคำถามบ้าง ถือว่าน้อย เนื่องจากทุกท่านอาจจะได้รับข่าวสารจากช่องทางอื่นมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ที่พยายามบอกกล่าวและชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเรื่องข้อเท็จจริง พลตรีวินธัย เปิดเผยว่า ทูตทหารของกัมพูชา ไม่ได้ชี้แจงหรือมีคำถามอะไร คำถามส่วนใหญ่มาจากท่านอื่นมากกว่า ที่ถามเรื่องของความมั่นใจและยืนยันใช่หรือไม่ ซึ่งทางเรา ก็ให้เหตุผลไป และจะให้เอกสารชี้แจง ส่วนท่าทีของประเทศมหาอำนาจ ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งการเชิญมาในวันนี้เราก็ทำตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก คือทำให้เป็นทางการ ส่วนการหารือได้ชี้แจงเรื่องของการละเมิด บูรณภาพดินแดน และเอ็มโอยู 2543 และอนุสัญญาออตตาวา ด้วยหรือไม่ พลตรีวินธัย ระบุว่า มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าว และได้อธิบายตามหลักอนุสัญญา ที่ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิก และเล่าถึงกลไกการแก้ไขปัญหา […]

แจ้งเอาผิด “โมนิก้า” ด่าทหาร-ประสาน กต.เรียกตัวให้ปากคำ

สุรินทร์ 22 ก.ค.- สภ.พนมดงรักษ์ รับแจ้งความเอาผิด “โมนิก้า” ม.116 – ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ปมชี้หน้าด่าทหารปราสาทตาเมือนธม ประสาน กต.เรียกตัวให้ปากคำ จากกรณี นักท่องเที่ยวหญิงชาวกัมพูชา ก่อความวุ่นวายประสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ด้วยการชี้หน้าด่าทหารไทยในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังมีการเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียว่าผู้หญิงดังกล่าว ชื่อ นโรดม แพน โมนิก้า ล่าสุดสถานีตำรวจภูธรพนมดงรักษ์ (สภ.พนมดงรักษ์) จ.สุรินทร์ ได้รับแจ้งความจากเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนดำเนินคดีข้อหาก่อความวุ่นวาย ดูถูกเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่และการปลุกปั่นยุยงเพื่อนำเข้าในระบบคอมพิวเตอร์ คดีดังกล่าวเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางและเป็นที่สนใจของประชาชน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้รายงานไปยังผู้บังคับการจังหวัดสุรินทร์ เพื่อแต่งตั้งคณะทำงานสอบสวนดำเนินคดีนี้ เบื้องต้น ทางผู้บังคับการจังหวัดสุรินทร์ ลงนามแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสอบสวน ไปช่วยทำคดีนี้ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานสอบพยาน พยายานบุคคล พยานแวดล้อม และคลิปเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย พร้อมทำหนังสือเรียกผู้ถูกกล่าวหาให้เดินทางมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนที่ สภ.พนมดงรักษ์ โดยประสานผ่านกระทรวงการต่างประเทศ -313 -สำนักข่าวไทย

ครม.ไฟเขียว “วิทัย” นั่งเก้าอี้ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่

กรุงเทพฯ 22 ก.ค. – ครม.ไฟเขียว “วิทัย” นั่งเก้าอี้ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ เดินหน้าผลักดันนโยบายการเงิน ควบคู่กับนโยบายการคลัง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบแต่งตั้ง นายวิทัย รัตนากร ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากครบกำหนด นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ในวันที่ 30 กันยายน 2568 ให้มีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป หลังจากพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายเศรษฐพุฒิ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ 21 สิงหาคม 2563 หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักเลขาธิการ ครม.ให้ทำหนังสือถึง ปปง., ป.ป.ช. เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ให้ชัดเจนมากขึ้น ตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งเป็นไปตามข้อกฎหมายกำหนด การประชุม ครม.วันนี้ กระทรวงการคลังจึงส่งเอกสารเพื่อบรรจุในวาระพิจารณา ครม. […]

17 นักวิชาการอิสระ ยื่นหนังสือถึง ครม. ขอผู้ว่าฯ ธปท.เป็นอิสระ

กรุงเทพฯ 22 ก.ค.- 17 นักวิชาการอิสระ ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี-ครม. ระบุผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ ต้องเป็นอิสระ ไม่ถูกกดดันให้ลดดอกเบี้ย เพจเฟชบุ๊ก “เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” โพสต์หนังสือเปิดผนึกถึงคณะรัฐมนตรี เรื่อง ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เรียน นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี โดยระบุว่า กรณีการเสนอชื่อผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 22 กรกฎาคม 2568 ขอแสดงความห่วงใยและเสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้ 1.เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะต้องเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว แม้จะเข้าใจได้ว่าโดยธรรมชาติแล้ว รัฐบาลต้องการการเจริญเติบโตของประเทศในระยะสั้น ซึ่งประสบการณ์การของผู้ทำงานธนาคารของรัฐ อาจจะเคยชินในการสนองตอบต่อนโยบายของนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ อย่างไรก็ดี เนื่องจากประเทศชาติต้องการการเติบโตที่มีเสถียรภาพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จึงจำเป็นต้องเป็นบุคคลที่สามารถประคับประคอง และลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการมุ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นของรัฐบาล 2.ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องไม่ถูกกดดันเพื่อลดหรือเพิ่มอัตราดอกเบี้ย หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตรา ตามความต้องการของฝ่ายการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ เพราะจะทำให้นักการเมืองและคนบางกลุ่ม สามารถแสวงหาประโยชน์ในบางโอกาสจนร่ำรวย แต่ประเทศชาติเสียหาย 3.ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องเป็นอิสระจากการกดดันของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารและสถาบันการเงินของรัฐ แต่จะต้องกำกับดูแลสถาบันการเงินเพื่อประโยชน์ของประเทศระยะยาว 4.ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย จะต้องได้รับการยอมรับระหว่างประเทศ โดยเฉพาะองค์การการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนและสถาบันของต่างประเทศเกิดความมั่นใจที่จะทำธุรกิจและพันธสัญญาในระยะยาว 5.ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องเข้าใจการพัฒนาประเทศในระดับมหภาค […]