ชำแหละธุรกิจขายตรงยักษ์ใหญ่-ดาราดังมีเอี่ยว

ธุรกิจขายตรง

กรุงเทพฯ 10 ต.ค. – ผู้เสียหายลั่น “หมดตัวเพราะขายตรง” แฉธุรกิจขายตรงยักษ์ใหญ่ ชวนลงทุนแต่ทำกำไรไม่ได้จริง พบมีดาราระดับเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยเป็นผู้บริหาร ด้าน ปคบ. เร่งตรวจสอบโมเดลธุรกิจ


สมาชิกผู้ใช้ TikTok คนหนึ่งโพสต์คลิปพูดถึงเครือข่ายธุรกิจออนไลน์ว่าขอเป็นคนเปิดโปงขบวนการนี้เอง พร้อมแฉว่าผู้เสียหายมีมากกว่าคดีทองแม่ตั๊กเสียอีก ใครโดนยิงโฆษณารับสอนเปิดเพจ สอนยิงโฆษณาแบบจับมือทำ 98 บาท หลังจากนั้นใครเข้าไปเรียน สุดท้ายพอเข้าไปเรียนก็ได้เรียนนิดๆ หน่อยๆ จากนั้นจะถูกชักชวนให้ขายคอร์ส ขายสินค้า ซึ่งสินค้าก็ขายไม่ได้ เพราะไม่มีใครซื้อ แต่ได้ความน่าเชื่อถือ เพราะมีดาราดังๆ หลายคนเป็นพรีเซ็นเตอร์

พร้อมกับบอกว่า ผู้เสียหายของตนมาเล่าให้ฟังว่าเปิดบิล 1 ล้านบาท อีกคน 2.2 ล้านบาท อีกคู่หนึ่งเป็นสามีภรรยากัน มีเงินเก็บคนละ 2 แสนกว่าบาท ลงไปทั้งคู่ เงินจมเลย สินค้าขายไม่ได้ ต้องกินเองใช้เอง แต่ยังเปิดคอร์สเรียนทุกวัน เพราะต้องการหาดาวน์ไลน์ ซึ่งเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน คุณดนัยเคยออกมาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเรื่องนี้ และจนถึงตอนนี้ที่เป็นกระแสดราม่าประเด็นนี้อีก จึงทำคลิปขึ้นมาเล่าให้ฟังโดยเฉพาะออกมาโต้ กลุ่มเซฟบอส


สำหรับดราม่าร้อนระอุโซเชียล กรณีธุรกิจขายของออนไลน์บริษัทดัง ซึ่งเป็นธุรกิจตัวแทนจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เช่น กาแฟ คอลลาเจน และวิตามิน โดยธุรกิจดังกล่าวถูกจับตาในโลกออนไลน์อย่างมากในเรื่องการขาย สตอกสินค้า และถูกโยงไปถึงข่าวต่างๆ มากมาย โดยในเพจดังออกมาเปิดหน้าตานักแสดงที่มีตำแหน่งใหญ่ในบริษัท และยังเปิดของการันตีความสำเร็จเมื่อเปิดบิลครบ 45,000 บาท อาจจะได้ไปล่องเรือยอร์ชพร้อมทอง หรือได้รถหรู และจะมีการโพสต์ภาพของคนที่อ้างว่าประสบความสำเร็จจากธุรกิจนี้ ซื้อบ้าน ซื้อรถด้วยเงิน แต่เมื่อสอบถามอีกด้านเป็นการให้รถไปยืมใช้ พอขายได้ ยอดตก ก็จะริบรถคืน

นอกจากนี้ยังมีภาพการประชุมของผู้บริหารที่มีดาราคุ้นหน้าคุ้นตานั่งร่วมโต๊ะ และคอร์สที่สอนออนไลน์ยังได้รับความนิยมถึงขนาดที่มีพระสงฆ์ไปนั่งเรียนด้วย นอกจากนี้จะมีการสอนบทให้ดาวน์ไลน์ไปเชิญชวนคนอื่นๆ มาสมัครต่อ เป็นสร้างฐานดาวน์ไลน์แบบดาวกระจาย ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี จนทำให้มีคนหลงเชื่อและตกเป็นผู้เสียหายหลายราย

วานนี้ (9 ต.ค.) ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ นำนางวิภารัตน์ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย มาเผยเรื่องราวที่ถูกหลอกลงทุนสูญเงิน 500,000 บาท จากบริษัทธุรกิจออนไลน์แห่งนี้ว่า ตนเองเริ่มเข้าเครือข่ายช่วงที่โควิดมาใหม่ๆ ในปี 2563 ไม่มีรายได้ จู่ๆ มีแม่ทีมที่เป็นตัวแทนจำหน่ายของบริษัทดังกล่าวขอเพิ่มเพื่อนในเฟซบุ๊ก ตอนแรกสังสัยว่าเป็นใคร เพราะรูปโปรไฟล์มีการถ่ายรูปคู่กับสินค้าเรียงเต็มอยู่ข้างหลัง


แม่ทีมคนนี้มีคำแนะนำให้ตนเข้าเป็นลูกทีม เมื่อฟังก็รู้สึกเชื่อถือและคิดว่าเป็นของแปลกใหม่ เป็นธุรกิจที่สามารถทำเงินได้ดี จึงสมัครจ่าย 2,500 บาท พอสมัครเสร็จแล้วมีการเข้าไปพบกับบุคคลที่เรียกกันว่า “บอส” และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องสินค้า พร้อมพูดถึงประวัติความเป็นมาของตัว “บอส” เอง ยิ่งทำให้น่าเชื่อถือ จึงจ่ายอีก 25,000 บาท เป็นการเพิ่มดีกรีให้ตัวเอง เป็นอีกขั้นหนึ่งของตัวเเทนจำหน่าย และเสียค่าไปเที่ยวกับบริษัทเหมือนการสัมมนาอีก 25,000 บาท รวมทั้งหมดวันนั้นจ่าย 50,000 บาท

ระหว่างที่ตนเองเป็นเครือข่ายก็มีพบเจอกับดาราบ้าง แต่ว่าเข้ามาในลักษณะของพรีเซ็นเตอร์ในการเชิญชวนซื้อสินค้าต่างๆ ของบริษัท จนทำมาประมาณ 5-6 เดือน เริ่มที่จะขายไม่ได้ จึงปรึกษากับแม่ทีมก็ได้คำตอบว่าให้ยิงโฆษณาเพิ่ม และชักชวนคนเข้ามาเป็นเครือข่ายเพิ่มเติมอีก แต่กลับไม่ได้มีการแนะนำวิธีการขายสินค้าเพิ่มเลย จึงมองว่าไม่คุ้มค่ากับที่ลงทุนไปสูญเงินรวมไปกว่า 500,000 บาท

“บอสพอล” โพสต์ปมธุรกิจ ลั่นไม่หนีพร้อม “มอบตัว”
บอสพอล ผู้บริหารบริษัทดังกล่าว ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่องดังกล่าว ระบุว่า สวัสดีทุกท่านครับ ผมขอเรียนชี้แจงผ่านทางช่องทางนี้นะครับ ตลอดระยะเวลาที่ผมทำธุรกิจขายปลีก-ขายส่งผ่านระบบตัวแทนภายใต้มาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่าแล้ว ผมเชื่อมั่นว่า…ผมดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใสมาโดยตลอด แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้ให้ทีมงานตรวจสอบข้อมูล ปรากฏมีหลายเคสตามที่เกิดดราม่าที่ออกมาต่อว่าด่าทอบริษัท กลับไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายของผมแบบที่กล่าวอ้างเลย อันนี้คือประเด็นใหญ่ที่สุดที่ผมเองไม่เคยได้รู้มาก่อนเลยครับ และยังคงสงสัยอยู่ว่าถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วทำไมถึงไม่มีใครในองค์กรรู้มาก่อนบ้างเลย

อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมคงรู้สึกเสียใจมากและอยากที่จะช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้ที่สูญเสียอย่างเต็มที่ครับ ขอเพียงท่านติดต่อกลับมาที่บริษัท ส่วนที่ถามว่าทำไมผมถึงยังไม่ออกมาพูดอะไร ผมขอตอบตรงๆ ว่าเมื่อไตร่ตรองโดยสติแล้ว ผมคิดว่า…ไม่ว่าจะตอบอะไรออกมาในช่วงที่กระแสสังคมเปรียบเหมือนน้ำเชี่ยวจากการรับข้อมูล “ทางเดียว” ในตอนนี้ยิ่งจะเป็นการทำให้สถานการณ์ที่หนักอยู่แล้วหนักยิ่งขึ้น

ผมพร้อมเข้าสู่กระบวนการ เพราะผมเชื่อว่า…เราต่างเป็นสุจริตชนที่อยู่ภายใต้ “กฎหมาย” ไม่ใช่การใช้ “กฎหมู่” หรือกระแสสังคม ในการทำลายกัน ผมพร้อมจะเข้าไปแสดงตัว “มอบตัวกับตำรวจ” ตามที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบทุกเมื่อ ผมรอพิสูจน์ความจริงอยู่ตรงนี้ ไม่หนีไปไหนแน่นอนครับ!!!”

เปิดของแถมยั่วใจ “ขายตรงดัง” การันตีความสำเร็จ
ขณะที่แฟนเพจชื่อดังอย่าง “อีซ้อขยี้ข่าว” ออกมาระบุถึงเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า “ของแถมยั่วยวนใจ ขายฝันการันตีความสำเร็จ หุ้นส่วนเป็นดาราดัง เป็นใครๆ ก็หลง เปิดบิลครบ 45,000 บาท ได้ทริปเรือยอร์ชพร้อมทอง มากสุดได้รถ BMW เลยทีเดียว เขาบอกห้ามโพสต์ลงโซเชียล

แฉโมเดลธุรกิจขายตรงบังหน้า
ดูโมเดลธุรกิจสุดคลาสสิกที่อาศัยคำว่า “ธุรกิจขายตรง” บังหน้า ผ่านถ้อยคำชวนฝันให้หลงเชื่อว่าจะรวยอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นเดียวกับโมเดลการทำธุรกิจ บริษัทเครือข่ายยักษ์ใหญ่ชื่อดัง เริ่มต้นจากการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูน่าเชื่อถือ นำคนดัง ดารานักแสดงมากหน้าหลายตา ออกรายการ ยิงโฆษณา เชิญชวนขายคอร์สราคาไม่แพง ไม่ถึงร้อยก็เรียนได้ ขายฝันว่าสามารถพลิกชีวิต พอเหยื่อตกลงมาสมัครเรียนก็สอนความรู้พื้นฐานทั่วไปที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ปิดท้ายด้วยการ “เปิดบิล” ให้สตอกสินค้า หากใครไม่มีทุนก็ขายฝันต่างๆ นานา ให้ไปยืม แม้แต่ไปกู้เพื่อมาลงทุนกับเรา

ข้อมูลจากสมาคมการขายตรงไทย-TDSA ให้คำอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างธุรกิจขายตรงกับแชร์ลูกโซ่มีหลายข้อ แต่หลักๆ “ธุรกิจขายตรงที่ดี” จะสร้างความยั่งยืนให้กับนักขายและลูกค้า แต่ “แชร์ลูกโซ่” กลับมักสร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภค ซึ่งใครที่จะตัดสินใจเข้าร่วมต้องศึกษาโมเดลธุรกิจให้ถ่องแท้ เพื่อไม่ให้พลาดตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ โดยลักษณะของธุรกิจขายตรง ค่าสมัครเหมาะสมและอาจมีเอกสารหรือสินค้าตัวอย่าง มีการรับประกันสินค้าและรับซื้อคืนเมื่อนักขายตรงต้องการลาออก ไม่มีนโยบายกักตุนสินค้าจำนวนมากๆ แผนการจ่ายผลตอบแทนเป็นไปได้จริง รายได้หลักต้องมาจากการขายสินค้าไม่ใช่การระดมเงินทุน

ขณะเดียวกันลักษณะของแชร์ลูกโซ่ ค่าสมัครสูง เป็นการระดมทุน เน้นการกักตุนสินค้า สินค้าไม่มีคุณภาพ ไม่รับประกันและไม่รับคืนสินค้า รายได้หลักมาจากการระดมทุนหรือใช้เงินซื้อตำแหน่ง เป็นธุรกิจระยะสั้น บริษัทไม่มีความมั่นคง

ปคบ.เร่งตรวจสอบโมเดลธุรกิจบริษัทดัง
พันตำรวจเอก อนุวัฒน์ รักษ์เจริญ รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ตำรวจได้รับทราบกระแสข่าวทางโซเชีลยมีเดียว่ามีผู้ที่ได้รับความเสียหายจำนวนมากจากการร่วมธุรกิจเครือข่ายชื่อดังยักษ์ใหญ่ที่มีดาราแถวหน้าของเมืองไทยเป็นผู้บริหารแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบพฤติการณ์โมเดลธุรกิจดังกล่าวว่าเข้าข่ายความผิดที่เกี่ยวข้องกับ บก.ปคบ. หรือไม่ โดยขอตรวจสอบรายละเอียดการทำธุรกิจก่อน อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่ามีผู้เสียหายรายใดเข้าแจ้งความ

ขณะที่พลตำรวจโท นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังจับตาประเด็นดังกล่าวอยู่ หากมีผู้เสียหายประสงค์จะแจ้งความร้องทุกข์คดีที่เกี่ยวข้องกับการขายตรงลักษณะนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมรับดำเนินการ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้ บทลงโทษของการชักชวนคนมาลงทุนแล้วไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนตามที่กล่าวอ้าง ถือว่าเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับ 50,000-1,000,000 บาท และมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะที่วันนี้ (10 ต.ค.) เวลา 10.00 น. ทนายเดชาจะพาผู้เสียหาย 40 คน ไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เกี่ยวกับคดีของบริษัทแห่งหนึ่งที่ต้องสงสัยว่ากลายพันธุ์จากบริษัทขายตรงแชร์ลูกโซ่หรือไม่ ซึ่งเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ขายตรง และอาจผิดตามข้อหากู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

พายุคาจิกิกระทบหลายจังหวัดเหนือ-อีสาน

27 ส.ค. – ผลกระทบจากพายุ “คาจิกิ” ส่งผลหลายจังหวัดภาคเหนือและภาคอีสาน ฝนตกหนัก อย่าง จ.แม่ฮ่องสอน น้ำป่าไหลหลากอย่างรุนแรงในพื้นที่บ้านแม่โกปี๋ ต.แม่ยวมน้อย อ.ขุนยวม ส่วน จ.เลย แม่น้ำเหืองเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ต.นาแก้ว อ.นาแห้ว ชาวบ้านต้องเร่งยกสิ่งของขึ้นที่สูง พายุคาจิกิเคลื่อนตัวสู่ จ.น่าน ทำให้ 6 อำเภอทางตอนเหนือของเมืองน่าน มีฝนตกหนักและเริ่มมีน้ำป่าหลากดินสไลด์ใน ต.ปิงหลวง อ.นาหมื่น ชาวบ้านตามชุมชนและร้านค้าต่างๆ เร่งเก็บข้าวของไว้บนที่สูง อย่างชุมชนสวนตาลล่าง ซึ่งยังไม่ทันฟื้นฟูความเสียหายจากพายุวิภาเมื่อเดือนที่แล้ว ต้องเตรียมพร้อมกันอีกรอบ อย่างร้านจำหน่ายแอร์และกล้องวงจรปิดร้านนี้ ซึ่งครั้งที่แล้วเสียหายไปกว่า 6 ล้านบาท ต้องขนสินค้าออกจากร้านและยกขึ้นชั้น 2 หวั่นเจอน้ำท่วมซ้ำอีก ขณะเดียวกันเริ่มอพยพผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงที่อยู่ในจุดเสี่ยงน้ำท่วมออกมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงแล้วกว่า 20 ราย รวมทั้งเร่งเสริมคันดินและกระสอบทรายตามจุดเสี่ยงรอบเมือง โดยเฉพาะโรงพยาบาลน่าน ที่เคยถูกน้ำท่วมเสียหายเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งขนอุปกรณ์การแพทย์ขนาดใหญ่ไปไว้ในที่ปลอดภัย และเสริมแนวกระสอบทรายป้องกันไว้แล้ว พร้อมยกระดับยกระดับการป้องกันและรับมือกับพายุคาจิกิขั้นสูงสุด ขณะที่ จ.แม่ฮ่องสอน มีผู้ใช้โซเชียลโพสต์คลิปสถานการณ์น้ำป่าไหลหลากอย่างรุนแรงช่วงบ่ายวานนี้ (26 ส.ค.) ในพื้นที่บ้านแม่โกปี๋ ต.แม่ยวมน้อย อ.ขุนยวม […]

ทบ.ย้ำชัดกัมพูชาบิดเบือน-ให้ร้าย ตั้งชุมชนรุกล้ำผิด MOU 2000

27 ส.ค.- โฆษก ทบ.โต้กัมพูชา กล่าวหาบิดเบือนพยายามให้ร้ายฝ่ายไทย ย้ำชัดวางลวดหนาม “บ้านหนองจาน” อยู่ในเขตอธิปไตยไทย ชี้เขมรตั้งชุมชนรุกล้ำผิด MOU 2000 จากกรณีที่สำนักข่าว Fresh News รายงานว่า นายชุม ซอนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา แถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชา–ไทย เมื่อช่วงเย็นวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เวลา 16.00 น. โดยระบุว่า ฝ่ายไทยได้ละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา และละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ด้วยการวางลวดหนามรุกล้ำพื้นที่บ้านเรือนและที่ดินของประชาชนในหมู่บ้านโจกเจย ตำบลโอเบยเจือน อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งสะท้อนถึงฝ่ายไทยได้ขยายพื้นที่ความขัดแย้งเข้ามาสู่เขตชุมชนพลเรือน และจากการประชุม GBC เมื่อ 7 สิงหาคม 2568 มีบันทึกความเข้าใจ 13 ข้อ ระบุว่าจะไม่มีการดำเนินการใด ๆ ที่เป็นการยั่วยุ และจะหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มขึ้น รวมถึงตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 ห้ามการดำเนินการใด ๆ […]

อุตุฯ เตือนเหนือ-อีสานตอนบน ฝนตกหนักบางพื้นที่

กรุงเทพฯ 27 ส.ค. – กรมอุตุฯ เตือนประชาชนโดยเฉพาะบริเวณ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนภาคกลาง รวมทั้ง กทม.-ปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่ง กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนโดยเฉพาะบริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมา เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมกำลังค่อนข้างแรงบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน […]

“มาริษ” เผยสวีเดนกังวลสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ยกหารือเวที UN พรุ่งนี้

สวีเดน 26 ส.ค.-“มาริษ” เผยสวีเดนกังวลสถานการณ์ไทย-กัมพูชา หลังกัมพูชาใช้โล่มนุษย์ยั่วยุในพื้นที่ต่อเนื่อง เตรียมยกเรื่องนี้หารือเวที UN ที่เจนีวา พรุ่งนี้ ยันยังไม่ส่งทูตกลับ จนกว่าเขมรแสดงให้เห็นว่าจริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวภายหลังการหารือทวิภาคีกับนางมารีอา มัลเมอร์ สเตเนอร์การ์ด (Maria Malmer Stenergard) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน ถึงสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ที่มีการยั่วยุโดยใช้พลเรือนเป็นเครื่องมืออย่างต่อเนื่อง ว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นที่หน่วยงานในพื้นที่ต้องช่วยกันระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน เพราะเมื่อมีพลเรือนเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการทำงานของทางทหารก็จะยากลำบาก อาจจะนำไปสู่การสร้างความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหน่วยงานที่เป็นพลเรือนในพื้นที่ก็จำเป็นจะต้องเข้ามาดูแลและแก้ไขสถานการณ์ตรงนี้ นายมาริษ กล่าวว่า ในการพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสวีเดน ตนได้อธิบายให้เข้าใจว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่กัมพูชาพยายามใช้ ซึ่งขัดต่อความตกลงในกฎบัตรสหประชาชาติเป็นอย่างมาก เหมือนกับใช้ประชาชนและพลเรือนเป็นโล่มนุษย์ เพื่อที่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ซึ่งประเทศสวีเดนก็เข้าใจ และพรุ่งนี้ (27 ส.ค.) ตนจะมีโอกาสได้ชี้แจงกับที่ประชุม UN ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ตนจะยกประเด็นนี้ขึ้นแสดงความห่วงกังวลว่า การใช้วิธีเอาพลเรือนมาเป็นตัวกดดัน หรือมาสร้างความตึงเครียด หรือขยายความตึงเครียดบริเวณชายแดนมากยิ่งขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ […]