กรุงเทพฯ 5 เม.ย. – รก.ผอ.ขสมก.เตรียมหารือฝ่ายกฎหมายสู้คดีรถเมล์เอ็นจีวี ด้านสหภาพฯ ยื่นหนังสือคมนาคมเสนอตรวจรับ เพื่อประโยชน์สาธารณะ
ความคืบหน้ารถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน หลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวบริษัท เบสท์ริน ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) รับมอบรถเมล์ภายใน 15 วัน นายสมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. เปิดเผยว่า เตรียมเรียกประชุมคณะกรรมการด้านกฎหมาย เพื่อพิจารณาแนวทางการเตรียมข้อมูลเพื่อยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางและเข้าชี้แจงต่อศาลภายใน 15 วัน หากศาลยืนตามการพิจารณาของศาลชั้นต้นให้ ขสมก.รับรถเมล์เอ็นจีวี ขสมก.ก็จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว แม้ว่า ขสมก.จะบอกเลิกสัญญาไปแล้วก็ตาม
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ ขสมก.เซ็นสัญญารับรถเมล์เอ็นจีวีนั้น เนื่องจากผู้บริหาร ขสมก. รวมถึงอดีตผู้อำนวยการ ขสมก.ชี้แจงต่อศาลก่อนหน้านี้นั้น ระบุไว้ 2 ประเด็น คือ ไม่ได้ชี้ชัดว่าแหล่งกำเนิดรถเมล์เอ็นจีวีที่ถือเป็นสาระสำคัญ เพื่อบอกเลิกสัญญาเบสท์ริน และไม่ได้ชี้ชัดว่าคุณสมบัติของตัวรถเมล์เอ็นจีวีเป็นสาระสำคัญในการบอกเลิกสัญญา ดังนั้น จะเร่งหารือกับฝ่ายกฎหมายเพื่อต่อสู้ต่อไป และวันที่ 11 เมษายนนี้ ทางคณะกรรมการ ขสมก.จะพิจารณาหาข้อสรุปการแก้ไขปัญหารถเมล์เอ็นจีวีตามกรอบเดิมที่กำหนดไว้ 15 วัน เมื่อบอร์ดมีมติออกมารูปแบบใดก็จะดำเนินการตามนั้นทันที
ขณะที่นายวีระพงษ์ วงศ์แหวน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) เข้ายื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ และนายพิชิต อัคราทิตย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาขององค์การ คือ เร่งแก้ไขปัญหารถเมล์เอ็นจีวี 489 คันที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย จะมีแนวทางใดที่จะนำรถที่จดทะเบียนถูกต้องแล้วมาให้บริการตามคำสั่งศาลปกครองกลางที่ให้มีการคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่มีการตัดสินใจจะทำให้ประชาชนเสียโอกาสในการใช้บริการ และการจัดซื้อจัดจ้าง ประกวดราคาจัดหาระบบ อี-ทิกเก็ต มาติดรถโดยสาร การดำเนินการจะต้องให้เกิดความโปร่งใส เปิดกว้างให้ทุกบริษัทสามารถเข้ามาประกวดเสนอราคาได้ โดยไม่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนเอกชนรายหนึ่งรายใดเข้ามาผูกขาด และการปฏิรูปเส้นทางเดินรถโดยสารควรจัดสรรเส้นทางให้ ขสมก.ก่อน ในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐ เพื่อสนองตอบนโยบายรัฐบาล และให้บริษัทเอกชนที่เดินรถปัจจุบันมีโอกาสเข้ามาประมูลเส้นทางต่าง ๆ ได้ก่อน เว้นแต่บริษัทเอกชนที่ค้างชำระหนี้ ค่าตอบแทนและไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญา ขณะเดียวกันให้สหภาพฯ เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นกรรมการในการพิจารณาการปฏิรูปเส้นทางการเดินรถโดยสารด้วย.-สำนักข่าวไทย