รัฐสภา 29 มี.ค.- “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ” ขอให้นับองค์ประชุม สนช.ในการพิจารณา แถลงปิดสำนวนคดีถอดถอนออกจากตำแหน่ง หลังสมาชิกเหลือฟังแถลงปิดสำนวนคดีน้อย ขณะที่ สนช.ท้วงติง “สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย” ประธานในที่ประชุม ไม่ต้องทำตามคำร้องขอเพราะไม่ใช่สมาชิก ก่อนนัดลงมติถอดถอนหรือไม่พรุ่งนี้
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณาวาระแถลงปิดสำนวนคดีด้วยวาจาของคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง กรณีออกหนังสือเดินทางธรรมดาให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโดยมิชอบ
นางสาวสุภา ปิยะจิตติ ตัวแทนกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ยืนยันว่า การออกหนังสือเดินทางให้บุคคล จะต้องยึดระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศอย่างเคร่งครัด และตรวจสอบว่าบุคคลเหล่านั้นอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีหรือ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศหรือไม่ และ กรณีของ นายทักษิณ ก็มีความชัดเจนว่าถูกศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศตั้งแต่ปี 2551 และจากนั้นก็ถูกดำเนินคดีอีกหลายคดี จนปี 2553 กระทรวงการต่างประเทศ ได้สั่งยกเลิกเพิกถอนหนังสือเดินทางของ นายทักษิณ แต่นายสุรพงษ์ กลับดำเนินการยกเลิกคำสั่งดังกล่าว และออกหนังสือเดินทางให้ นายทักษิณใหม่ ภายในวันเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นการเร่งรัดดำเนินการ โดยไม่ทำตามระเบียบของกระทรวง จึงถือว่าเป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่
“การออกหนังสือเดินทางให้บุคคลใดต้องยึดระเบียบกระทรวงการต่างประเทศอย่างเคร่งครัดกรณีนี้มีความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยทุจริต ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ อย่าเอาคุณสมบัติของนายภักดีมาหากินอีก เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว” นางสาวสุภา กล่าว
จากนั้นนายสุรพงษ์แถลงปิดสำนวนคดี โดยยืนยัน ว่า บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ของ ป.ป.ช. เป็นการแจ้งข้อกล่าวหาต่อหน้าตน โดยกรรมการ ป.ป.ช. ร่วมกันแจ้งข้อกล่าวหา จำนวน 6 คน แต่ในบันทึกข้อกล่าวหา มีกรรมการร่วมลงชื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก 3 คน จึงทำให้เอกสารดังกล่าว เป็นเอกสารเท็จ อีกทั้ง ป.ป.ช. ก็เคยยอมรับแล้วว่า บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา เป็นการทำไว้ล่วงหน้า พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การทำเอกสารแจ้งข้อกล่าวหรือไว้ล้วงหน้า ทำได้หรือไม่ เพราะ ใบเอกสาร กับวันที่แจ้งข้อกล่าวหา วันที่ไม่ตรงกัน อาจมองได้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารเท็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างแถลงไประยะหนึ่งนายสุรพงษ์ ได้ขอให้นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม ตรวจสอบองค์ประชุม เนื่องจากเห็นว่าสมาชิกอยู่ในห้องประชุมน้อยมาก ไม่น่าจะถึง 50 คน ซึ่งอาจขัดต่อระเบียบของสนช. ระหว่างพิจารณาและจะลงมติจะถอดถอนตนเองหรือไม่วันพรุ่งนี้ (30มี.ค.)
นายสุรชัยจึงกดออดเรียกสมาชิกเพื่อมาแสดงตน ทำให้สมาชิกหลายคนอาทิ นายสมชาย แสวงการ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ และนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ท้วงติงว่าไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามที่นายสุรพงษ์ร้องขอ เพราะไม่ได้เป็นสมาชิก อีกทั้งสมาชิกบางส่วนติดประชุมอื่น ๆ จึงไม่ได้ร่วมรับฟัง ทำให้การแถลงปิดคดีของนาย สุรพงษ์ ต้องหยุดลงโดยนายสุรชัย ได้เชิญตัวนายสุรพงษ์ออก เพื่อหารือร่วมกันกับสมาชิก
นายสุรชัย ชี้แจงว่า ทำงานโดยคำนึงถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของ สนช.ซึ่งหากไม่ถูกใจใครต้องขออภัย เพราะเป็นการให้โอกาสก่อนที่จะตัดสินจากการลงมติถอดถอนหรือไม่ ที่สุดแล้วที่ประชุมลงมติเอกฉันท์ด้วยคะแนน 149 เสียงเห็นด้วยให้ผู้ที่ไม่เป็นสมาชิกสนช.ไม่มีสิทธิขอให้ตรวจสอบองค์ประชุม
จากนั้นนายสุรพงษ์ แถลงปิดสำนวนคดีต่อ ย้ำว่า นายทักษิณ ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ จึงได้ตัดสินใจคืนหนังสือเดินทางให้ ส่วน คุณสมบัติของ นายภักดี โพธิศิริ ถือว่าไม่ได้เป็นกรรมการ ป.ป.ช.ตั้งแต่ต้น ดังนั้นการไต่สวนถอดถอนตน ที่มีนายภักดี เป็นกรรมการ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเป็นโมฆะ การลงมติถอดถอนตัวเองจึงไม่สามารถดำเนินการได้
อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้(30มี.ค.)ที่ประชุม สนช.นัดพิจารณาลงมติถอดถอน หรือไม่ถอดถอน นายสุรพงษ์ ออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นการลงมติแบบลับ.- สำนักข่าวไทย
