กรุงเทพฯ 13 มี.ค. – ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส.เผยผลสำรวจ “ระดับความสุขของเกษตรกรไทย” พบราคาผลิตผลการเกษตรเพิ่ม ส่งผลความสุขพุ่งทะยานทุกมิติชี้วัด และโครงการให้ความรู้ทางการเงิน ทำให้เกษตรกรมีความรู้และนำไปประยุกต์ใช้ ส่งผลดีต่อพฤติกรรมทางการเงิน
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยผลการสำรวจของศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส.หัวข้อ “ความสุขมวลรวมของเกษตรกรไทย” จากกลุ่มตัวอย่าง 2,064 รายทั่วประเทศ พบว่า ความสุขของเกษตรกรไทยภาพรวมคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (Very Happy) (คะแนนเฉลี่ย 83.11 จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน) เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายชนิดเริ่มปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ อาทิ อ้อย ปลาน้ำจืด และผลไม้ ทำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชและทำประมงน้ำจืดมีรายได้เพิ่มขึ้น ด้านราคาสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในเกณฑ์ที่เกษตรกรพอใจ อาทิ ข้าวและยางพารา ส่วนเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัดเป็นผลกระทบระยะสั้น
จากการสำรวจความสุขของเกษตรกรในมิติชี้วัดความสุข 6 มิติ พบว่า มิติครอบครัวดี มิติสุขภาพดี มิติสังคมดี มิติการงานดี มิติใฝ่รู้ดี และมิติสุขภาพเงินดี มีคะแนนเฉลี่ยความสุขอยู่ในระดับมากที่สุด (Very Happy) โดยมิติครอบครัวดี มีคะแนนเฉลี่ยความสุขสูงที่สุดในทุกมิติ (คะแนนเฉลี่ย 87.94) และมิติสุขภาพเงินดีเป็นมิติที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุด (คะแนนเฉลี่ย 76.77) แต่คะแนนเฉลี่ยยังอยู่ในระดับมากที่สุด (Very Happy) ความสุขของเกษตรกรไทย จำแนกตามอาชีพการเกษตรหลัก พบว่า เกษตรกรที่ประกอบอาชีพการเกษตรหลักทุกประเภทมีความสุขอยู่ในระดับมากที่สุด (Very Happy)
ทั้งนี้ เมื่อจำแนกความสุขของเกษตรกรเป็นรายภาค พบว่า เกษตรกรทุกภาคมีความสุขอยู่ในระดับมากที่สุด (Very Happy) โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีคะแนนเฉลี่ยความสุขสูงที่สุด (คะแนนเฉลี่ย 85.75) สาเหตุจากราคาอ้อยฤดูกาลผลิตปี 2559/2560 ปรับสูงขึ้นตามภาวะราคาน้ำตาลในตลาดโลก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งผลิตอ้อยสำคัญของประเทศ รองลงมาคือ เกษตรกรภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคตะวันออก คะแนนเฉลี่ยความสุขมวลรวมเท่ากับ 84.50 84.25 และ 84.00 ตามลำดับ เนื่องจากราคาผลผลิตภาคเกษตร เช่นอ้อย ผลไม้ และปลาน้ำจืด ได้ราคาสูงขึ้น ส่วนเกษตรกรภาคใต้ตอนล่าง มีคะแนนเฉลี่ยความสุขต่ำที่สุด (คะแนนเฉลี่ย 79.75) เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย โดยเกษตรกรชาวสวนยางพาราไม่สามารถกรีดยางได้และเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้รวมทั้งผลผลิตที่เก็บได้มีอัตราการให้น้ำมันลดลง
นายลักษณ์ กล่าวต่อว่า จากการที่ ธ.ก.ส.จัดทำโครงการให้ความรู้ทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยถือเป็นนโยบายสนับสนุนสินเชื่อที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการให้ความรู้แก่พี่น้องเกษตรกรด้วยนั้น ปีบัญชี 2559 ศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส ทำการสำรวจ โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นตัวอย่าง 1,155 ราย ได้แก่ เกษตรกร ชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ธ.ก.ส.และศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เยาวชนในโครงการโรงเรียนธนาคาร และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกษตร พบว่า พฤติกรรมทางการเงินของกลุ่มตัวอย่างปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากปี 2558 ทุกด้าน ได้แก่ ด้านการจัดทำบัญชีครัวเรือนรายรับ-รายจ่าย การนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในชีวิตประจำวัน การออมเงิน การออมก่อนใช้ ก่อนกู้มีการพิจารณาถึงความจำเป็น การใช้เงินตามวัตถุประสงค์ และการจัดสรรเงินสำหรับชำระหนี้ เป็นต้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ .-สำนักข่าวไทย