กรุงเทพฯ 25 ม.ค. – กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งคลอดแผนปฏบัติการพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ระบุ อีก 2 เดือนกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีประชารัฐ วงเงิน 20,000 ล้านบาทจะพร้อมให้บริการ
ในการสัมมนา CP ALL- PIM SMEs FORUM 2017 “ติดปีก SMEs สู่ประเทศไทย 4.0” นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ “วิเคราะห์เศรษฐกิจปี 2560 สู่การเดินหน้าตามนโยบายประเทศไทย 4.0.” ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีนี้ดีขึ้น การส่งออกก็เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกของไทยยังเป็นสินค้าแบบเดิม เป็นสินค้าโภคภัณฑ์จำนวนมาก ซึ่งมักผันผวนตามตลาดโลก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพัฒนาปรับเปลี่ยนโครงสร้างสินค้าส่งออกให้ไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี สามารถสร้างสรรสิ่งใหม่ ๆ และสามารถเข้าสู่ตลาดได้โดยตรงและสามารถเชื่อมต่อกับบริษัทขนาดใหญ่ได้ ซึ่งรัฐบาลเน้นการสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศหรือ Local Economy ลดการพึ่งพาการส่งออกลง ช่วยให้โครงสร้างเศรษฐกิจจะสมดุลขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่เอสเอ็มอีเข้มแข็งขึ้นผ่านการช่วยเหลือร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน และการเพิ่มผลิตภาพ
สำหรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะพัฒนาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเป็นการพัฒนาในหลายด้านไปพร้อม ๆ กัน ทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และคน ส่วนอุตสาหกรรม 4.0 เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการพัฒนาผู้ประกอบการ ซึ่งในส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมเน้น การพัฒนาเอสเอ็มอี โดยสัปดาห์หน้ากระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) ประสานไปยังคณะทำงาน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ที่ทำงานมาแล้วก่อนหน้านี้ นำแนวความคิดรวมยอดที่ได้ขึ้นมาจัดทำแผนปฏิบัติการในช่วง 5 ปีข้างหน้า และให้เริ่มเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมภายในปีนี้
ส่วนการพัฒนาผู้ประกอบการจะเริ่มตั้งแต่กลุ่ม Startup กลุ่มผู้ประกอบการเดิม และกลุ่มผู้ประกอบการที่ต้องได้รับการฟื้นฟู โดยจะช่วยเหลือทั้งด้านองค์ความรู้ ทักษะ ข้อมูลและความช่วยเหลือทางการเงิน โดยมี กองทุนเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีในแนวทางประชารัฐ วงเงิน 20,000 ล้านบาท ที่กระทรวงอุตสาหกรรมดูแลเข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งกองทุนจะพร้อมขับเคลื่อนภายใน 2 เดือน โดยขณะนี้กระทรวงอุตสาหกรรมจะหารือกับหอการค้าไทย สถาบันการศึกษา เพื่อสร้างเครือข่ายการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ยังมีวงเงินอีก 10,000 ล้านบาท สนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเดิมให้ยกระดับสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ซึ่งเงินช่วยเหลือส่วนนี้อยู่ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ
และยังเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) โดยอุตสาหกรรมที่ต้องการส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ได้แก่ ศูนย์ซ่อมสร้างอากาศยาน ชิ้นส่วนอากาศยาน เศรษฐกิจชีวภาพ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมยานยนต์ส่วนต่อยอดไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV ซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้ต้องดำเนินการให้ทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์ร่วมกันหรือ Inclusive Growth และเป็นการเติบโตเชิงคุณภาพไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม. – สำนักข่าวไทย