กรุงเทพฯ 5 ก.พ.-โฆษกรัฐบาล ระบุ นายกฯไม่ใช้ม.44 ดำเนินโครงการรถไฟไทย-จีน แต่ใช้กฎหมายปกติ เป็นความพยายามของคนที่ต้องการบิดเบือน ย้ำทุกขั้นตอนรอบคอบ คุ้มค่า
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มบุคคลแสดงความเห็นอ้างว่านายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 44 ยกเว้นใบอนุญาตนิติบุคคลให้กับบริษัทของจีนที่ออกแบบโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ส่งผลให้ฝ่ายจีนสามารถออกแบบได้เลย ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะนายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้มาตรา 44 ดำเนินการเรื่องนี้
“โครงการรถไฟไทย-จีน ใช้กฎหมายปกติดำเนินการ โดยฝ่ายจีนยังคงต้องขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามพ.ร.บ.วิศวกร พ.ศ.2542 และพ.ร.บ.สถาปนิก พ.ศ.2543 และเนื่องจากเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยังไม่เคยมีในประเทศไทย ขั้นตอนการออกแบบจึงต้องใช้วิศวกรจีนดำเนินการ โดยมีคณะทำงานจากการรถไฟแห่งประเทศไทยร่วมกำหนดรายละเอียดให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้ส่งแบบสถาปัตยกรรมสถานีที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรเคยศึกษาในโครงการรถไฟความเร็วสูงกทม.-นครราชสีมา ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกไทย ให้จีนเป็นต้นแบบด้วย” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า วงเงินค่าออกแบบโครงการรถไฟไทย-จีน เบื้องต้นเป็นจำนวน 1,779 ล้านบาท ไม่ใช่ 10,000 ล้านบาทตามที่กล่าวอ้าง ส่วนเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยการออกแบบเพื่อก่อสร้าง ผู้ที่รับรองการออกแบบของฝ่ายจีนจะต้องได้รับใบอนุญาตจากสภาวิศวกรและสภาสถาปนิกไทย ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่สภาวิชาชีพทั้งสองกำหนดไว้ ดังนั้น ความเห็นเรื่องการใช้มาตรา44 จึงทำลายโอกาสการสร้างงานให้กับคนไทย และความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยหากออกแบบโดยบริษัทจีน จึงเป็นการกล่าวอ้างที่บิดเบือนเกินความจริง
“นายกรัฐมนตรีติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้มาโดยตลอด และกำชับให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ โดยให้ความสำคัญกับประโยชน์ของฝ่ายไทยมากที่สุด และสอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล รวมถึงเน้นย้ำไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า การใช้อำนาจตามมาตรา44 นายกรัฐมนตรีจะใช้เฉพาะเรื่องที่จำเป็น เช่น เร่งรัดคดีทุจริตให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือเรื่องที่มีความซับซ้อนด้านกฎหมาย เพราะหากล่าช้าจะเกิดความเสียหาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโครงการรถไฟไทย-จีนเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณสูงและมีรายละเอียดด้านเทคนิคค่อนข้างมาก จึงต้องทำงานอย่างรอบคอบและคำนึงถึงความคุ้มค่าให้มากที่สุด ซึ่งอาจใช้เวลาอยู่บ้าง
“สำหรับเรื่องร่างสัญญาความร่วมมือไทย-จีน อยู่ระหว่างการหารือเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน เช่น บุคลากรจีนที่จะเข้ามาทำงานในไทยต้องยึดกฎหมายไทย ทั้งนี้ ทางการรถไฟฯ ยืนยันว่า จะเร่งรัดดำเนินการให้ได้ตามแผนที่วางไว้ เช่น การตอกเสาเข็มเริ่มโครงการภายใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย