กระทรวงคลัง 16 พ.ย. – บอร์ด กอช.เห็นชอบยุทธ์ศาสตร์ 5 ปี เดินหน้ารับเด็กออมเงินสมาชิก กอช. ชูนโยบาย “ออมสบาย ได้บำนาญ” ปรับแผนเจาะโรงเรียนหวังดึงเยาวชนสมัครสมาชิก
นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์กองทุนการออมแห่งชาติ ระยะ 5 ปี ( 2560-2564) โดยกำหนดเป้าหมายและแผนการทำงานที่ชัดเจนขึ้นหลังจากปีนี้ ด้วยการกำหนดวิสัยทัศน์ คือ เป็นหนึ่งในเสาหลักส่งเสริมการออม เพื่อสร้างหลักประกันบำนาญพื้นฐานให้แก่สมาชิก หวังให้ กอช.เป็นแหล่งเงินออม เปรียบเหมือนข้าวสวยในปิ่นโตเถาแรก มุ่งหวังหาสมาชิกใหม่เพิ่ม การสร้างผลตอบแทน การให้บริการที่เป็นเลิศ และด้านการบริหารจัดการที่ดีตามหลักธรรมาภิบาล ภายใต้นโยบาย “ออมสบาย ได้บำนาญ”
ทั้งนี้ คณะกรรมการ กอช.มีนโยบายชัดเจนมุ่งการปลูกฝังแนวคิดการออมเพื่อความพอเพียงในกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชนและคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน และประชาชนในท้องถิ่นภูมิภาค ให้มีโอกาสเข้าถึงมาตรการส่งเสริมการมีรายได้ที่เพียงพอเมื่อถึงวัยที่ไม่มีแรงทำงานหาเลี้ยงชีพ เพื่อช่วยลดภาระของภาครัฐในการดูแลผู้สูงอายุต่อไปในระยะยาว ดังนั้น กอช.จึงต้องมุ่งหวังดึงสมาชิกใหม่ผ่านการเข้าถึงชุมชน โรงเรียน และการสร้างแอพพลิเคชั่น เพื่อสื่อสารกับสมาชิกทางระบบออนไลน์ ซึ่งจะเข้าถึงเยาวชน วัยรุ่น มากขึ้น จึงตั้งเป้าหมายระดมยอดสมาชิกของกองทุน 1 ล้านรายในปีนี้ จากปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 520,000 รายจากเป้าหมาย เงินกองทุนรวม 2,400 ล้านบาท เป็นเงินสะสมประมาณ 1,500 ล้านบาท ที่เหลือ 463 ล้านบาท เป็นเงินสมทบจากภาครัฐ
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการ กอช. กล่าวว่า หลังจากเน้นเป้าหมายส่งเสริมการออมของแรงงานนอกระบบ ดังนั้น ปี 2560 กอช.จะมุ่งดึงกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปเข้ามาเป็นสมาชิกให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จึงต้องร่วมกับสถาบันการศึกษาเพื่อปลูกฝังการออมผ่านการฝากเงิน 1,200-1,300 บาทต่อปี เพียงระยะ 10 ปี เมื่อรวมผลตอบแทนจะได้รับเงินหลังเกษียณ 3,000 บาทต่อเดือน คาดว่าเพียงพอในการดำรงชีวิตวัยเกษียณ นอกจากนี้ ปีหน้าเตรียมแผนเสนอบอร์ดพิจารณาปรับเงินสมทบเพิ่มเป็น 1,500 บาท เพื่อจูงใจให้ออมมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน กอช.มีอัตราการออมเฉลี่ยต่อคนค่อนข้างต่ำเพียงปีละ 2,000 บาท ยอมรับว่าอาจไม่เพียงพอเมื่อรับเงินบำนาญหลังเกษียณปีหน้า จึงต้องส่งเสริมการออมมากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้งจะปรับแผนการบริหารเงินจากที่เน้นฝากเงินและลงทุนในพันธบัตร ตลาดตราสารหนี้ เปลี่ยนเป็นเน้นการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่ม เพื่อหาผลตอบแทนสูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันได้ผลตอบแทนเพียงร้อยละ 1.8 หากลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ร้อยละ 10-20 อาจได้ผลตอบแทนสูงขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.5 ต่อปี รวมทั้งการพัฒนาระบบให้ผู้ฝากเงินสามารถตรวจสอบยอดเงินผ่านทางเว็บไซต์และมือถือสมาร์ทโฟนในอนาคต เพื่อความสะดวกให้กับสมาชิก.-สำนักข่าวไทย