กรุงเทพฯ 1 มี.ค. – สถาบันอาหารจับมือเจโทร ชูความร่วมมือครั้งใหม่ THE NEW NFI-JAPAN DESK ดันไทยเป็นฐานผลิตสินค้าอาหารแปรรูปเพื่อส่งออกไปตลาดอาเซียน อินเดีย และตะวันออกกลาง
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า สถาบันอาหารตกลงร่วมมือครั้งใหม่กับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือเจโทร กรุงเทพฯ (THE NEW NFI-JAPAN DESK) เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการด้านธุรกิจสินค้าอาหารของไทยและญี่ปุ่น และอำนวยความสะดวกทางการค้าและการเติบโตของธุรกิจ โดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา ลดปัญหาด้านมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารที่เกิดจากการขาดข้อมูลหรือความเข้าใจผิด ทั้งเพื่อเร่งเดินหน้ากำหนดยุทธศาสตร์ความร่วมมือในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารระหว่างไทยและญี่ปุ่นอย่างจริงจัง รวมทั้งมีแนวทางส่งเสริมการค้าระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ทั้งนี้ ปี 2559 ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปญี่ปุ่นมูลค่าประมาณ 130,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทยรองจากกลุ่มประเทศอาเซียน มีสินค้าหลักสามารถเติบโตได้ดี อาทิ ไก่ กุ้ง ทูน่ากระป๋อง อาหารพร้อมรับประทาน และสับปะรดกระป๋อง เป็นต้น
ด้านนายฮิโรคิ มึทซึมาตะ ประธานเจโทร กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งใหม่นี้มีกรอบกว้างขึ้น เน้นการขยายตลาดสินค้าอาหารแปรรูป โดยใช้ไทยเป็นฐานการผลิตไปยังประเทศที่ 3 โดยเฉพาะตลาดอาเซียน อินเดีย และตะวันออกกลางซึ่งมีศักยภาพสูง จากเดิมสนับสนุนเฉพาะการนำเข้าส่งออกระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งจะใช้กลยุทธ์การสร้างความแข็งแกร่งด้าน Food Value Chain หรือห่วงโซ่การผลิตสินค้าอาหารแปรรูปที่นำเข้าวัตถุดิบมาจากญี่ปุ่นเพื่อมาผลิตในประเทศไทย และผลักดันให้ส่งออกไปตลาดประเทศเป้าหมาย
สำหรับการส่งออกสินค้าอาหาร เกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่นในภาพรวม พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 นับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา โดยปี 2559 มีมูลค่าการส่งออก 750,300 ล้านเยน ส่วนเป้าหมายการส่งออกปี 2562 ตั้งไว้ที่ 1 ล้านล้านเยน ส่วนตลาดส่งออกสินค้าอาหารของญี่ปุ่นมายังไทยปี 2559 มีอัตราหดตัวลงร้อยละ 8.2 หรือมีมูลค่าประมาณ 32,900 ล้านเยน โดยไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 6 สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่ หนังหมู ปลาโอ ปลาทูน่า และปลาซาบะ เป็นต้น ทั้งนี้ การหดตัวดังกล่าวเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเยนแข็งตัวขึ้นและสินค้าประมงจากญี่ปุ่นขาดแคลนและมีคุณภาพลดลง เนื่องจากปลาคัทสึ ปลาโอ ปลาทูน่าในทะเลมีปริมาณน้อยลง อีกทั้งฟาร์มเพาะเลี้ยงหอยเชลล์ที่ฮอกไกโด ซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นชั่วคราว เชื่อว่าปี 2560 อัตราเติบโตจะกลับมาสู่สภาวะปกติ คือ เฉลี่ยปีละประมาณร้อยละ 10.-สำนักข่าวไทย