ทำเนียบฯ 12 ก.พ.-นายกฯ สั่งศึกษารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ย้ำรัฐบาลมีความจำเป็นในการจัดหาพลังงานให้กับประเทศ พร้อมยืนยันไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ และ จ.สงขลา ว่า การประชุมในคณะรัฐมนตรีวันนี้ (21 ก.พ.) ได้มีการทำความเข้าใจเรื่องดังกล่าว ซึ่งไม่ได้เป็นการชะลอ แต่ให้ไปศึกษารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA ซึ่งหาก EIA ไม่สามารถทำได้ ก็ไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้
“ขออย่าไปวิตกกังวลว่ารัฐบาลถอยหลัง เพราะการศึกษาเรื่องนี้มีมานานแล้ว และอยากให้ภาคประชาชนเข้าร่วมในคณะกรรมการสามฝ่าย เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะต้องจัดหาพลังงานให้กับประเทศ ซึ่งหากทำไม่ได้ ก็จะส่งผลต่อการไม่มีไฟฟ้าใช้ในอนาคต ทั้งนี้กระบวนการในการก่อสร้าง หากมีการเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้า ก็จะทำให้กระบวนการล่าช้าออกไปอีก 1 ปี จากเดิมจะแล้วเสร็จในปี 2565 ก็จะไปแล้วเสร็จในปี 2566-2567” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องฟังหลักการที่หน่วยงานราชการไปศึกษามา ส่วนหากจะสร้างโรงไฟฟ้าหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องของตนที่จะได้รับประโยชน์ แต่สิ่งที่ทำ ก็ทำเพื่อประเทศ และตนไม่ได้ดันทุรัง แต่ทุกคนต้องยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากไม่ใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า และเปลี่ยนไปใช้แก๊ส หรือปาล์มน้ำมัน ก็อาจต้องรองรับต้นทุนที่อาจจะสูงขึ้น และส่งผลต่อต้นทุนพลังงานและค่าไฟฟ้าที่จะสูงขึ้นด้วย ซึ่งยืนยันว่าจุดประสงค์ของรัฐบาลคือการหาต้นทุนที่ถูกและคุ้มค่าที่สุด
“ถามง่าย ๆ ต้นทุนจากแก๊ส ถ้าซื้อไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น ประเทศไทยมีแก๊สเยอะหรือไม่ และน้ำมันมีเยอะหรือไม่ ถ้าวันหน้าซื้อแก๊ส ซื้อน้ำมัน มีปัญหาหรือไม่ ถ้าโลกเปลี่ยนแปลง ราคาน้ำมันและราคาแก๊สสูงขึ้นในการใช้เป็นพลังงาน เดือดร้อนหรือไม่ เราต้องคิดเผื่ออนาคต คิดตั้งแต่วันนี้ ต่อไปหากใช้น้ำมันปาล์ม หากราคาปาล์มตก ก็นำปาล์มมาผสมกับถ่านหินได้ แต่ถ้าราคาสูง ไปผลิตไม่พอ จะนำมาผลิตไฟฟ้าได้หรือไม่ ราคาจะขึ้นเท่าไหร่ คิดตรงนี้ และราคาต้นทุนต่อยูนิตจะเท่าไหร่ และใครเดือดร้อน ก็ต้องไปบวกฐานค่าไฟที่สูงขึ้นด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย