สงขลา 24 พ.ย. – สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จ.สงขลา ในอดีตเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างหาที่สุดไม่ได้ ทั้งการเสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคารที่ทำการ และการส่งเสริมงานด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง จนเป็นที่มาของความเจริญก้าวหน้าของงานด้านนี้
10 กันยายน 2524 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดอาคารสถาบันเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งแห่งชาติ จ.สงขลา เสด็จเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการต่างๆ ภายในอาคาร ด้วยความสนพระราชหฤทัยเป็นที่ยิ่ง ด้วยในช่วงหลายปีก่อนหน้านั้น ทรงให้ความสำคัญต่องานด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งเป็นอย่างมาก หลังจากทรงทราบถึงความสำเร็จของการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2510 และกรมประมงได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานให้ทรงทราบถึงความสำเร็จในครั้งนั้น
คุณลุงไพโรจน์ พรหมมานนท์ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง เล่าว่า ได้มีโอกาสถวายงานใกล้ชิดพระองค์หลายครั้ง นับตั้งแต่สามารถเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก พระองค์ทรงทราบและสนพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก จึงมีรับสั่งให้ถวายรายงานความก้าวหน้าของการเพาะเลี้ยง นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในปี 2513 แต่ด้วยความไม่พร้อมของบุคลากรและอุปกรณ์ ทำให้การเพาะขยายพันธุ์กุ้งก้ามกรามในขณะนั้น ทำได้ไม่มากนัก และไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน
ต่อมาเมื่อครั้งพระองค์เสด็จฯ เยี่ยมเยือนพสกนิกร และติดตามงานในพื้นที่แม่น้ำตากใบ จ.นราธิวาส ในปี 2519 พระองค์ได้รับสั่งถามถึงความก้าวหน้าของการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามอีกครั้ง จนเป็นที่มาของการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องของการเพาะขยายพันธุ์ และนำมาซึ่งการปล่อยพันธุ์กุ้งคืนสู่ธรรมชาติ สร้างงาน สร้างอาชีพให้ประชาชนจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันสถาบันเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งแห่งชาติ เปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เขต 6 สงขลา” ทำหน้าที่พัฒนาการวิจัยและเทคโนโลยีด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง เพื่อพัฒนาศักยภาพการเพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ มีผลการดำเนินงานที่ประสบผลสำเร็จและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย อาทิ การเพาะเลี้ยงปลากะพงขาว ปลากะรัง และปลาตะกรับ ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ให้เป็นแหล่งอาหาร สร้างงาน สร้างรายได้ ให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี ตามพระราชประสงค์ของพระองค์ได้อย่างยั่งยืน.-สำนักข่าวไทย