กสทช.ไม่ให้ค่ายมือถืออ้างช่องโหว่ธุรกิจไม่คืนเงินผู้บริโภค

กรุงเทพฯ 20 ส.ค. กสทช. บอกปัดค่ายมือถือ ไม่ให้อ้างเหตุช่องโหว่จากธุรกิจค้าค่าโทรปฏิเสธการคืนเงินผู้บริโภค


นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ  ส่งบทควาถึงสื่อมวลชนเพื่อแสดงคามเห็นกรณีเกี่ยวกับคิดอัตราค่าบริการโทรศัพท์ว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมล่าสุด ครั้งที่ 7/2563 ประจำเดือนสิงหาคม ได้มีการพิจารณาแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนกรณีผู้บริโภค 3 ราย ซึ่งเป็นผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินหรือแบบจ่ายล่วงหน้า (pre paid)  ต้องการปิดบริการกับค่ายมือถือรายหนึ่ง จำนวนทั้งสิ้น 24 เลขหมาย รวมยอดเงินกว่า 237,000 บาท แต่ปรากฏว่าถูกบริษัทปฏิเสธไม่ยอมคืนเงินคงเหลือในระบบให้ จึงได้ร้องเรียนความเดือดร้อนดังกล่าวมายังสำนักงาน กสทช.


จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกระบวนการพิจารณาของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ โดยได้เชิญคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเข้าชี้แจง พบว่า ผู้ร้องเรียนกลุ่มนี้มีการขอปิดบริการคราวละจำนวนหลายเลขหมาย และในแต่ละเลขหมายมียอดการขอคืนเงินสูงเกือบ 10,000 บาท ซึ่งในด้านผู้ให้บริการหรือค่ายมือถืออ้างว่า ยอดเงินในเลขหมายที่สูงมากนี้มีลักษณะไม่ใช่เป็นการเติมเงินไว้เพื่อการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามปกติ แต่ใช้เป็นช่องทางการโอนเงินหารายได้ แล้วมาขอรับเป็นเงินสด อีกทั้งยอดเงินบางส่วนก็เป็นการรับโอนต่อมาจากเลขหมายอื่นผ่านบริการของบริษัทที่ให้ผู้ใช้บริการระบบรายเดือน (post paid) สามารถเติมเงินค่าโทรให้กับผู้ใช้เบอร์เติมเงินได้ ซึ่งก็ปรากฏว่ามีผู้ใช้บริการแบบรายเดือนบางรายถูกหลอกให้เติมเงินให้ผู้อื่นและยังไม่ได้ชำระค่าบริการให้แก่บริษัท ดังนั้นบริษัทจึงต้องการอายัดเงินดังกล่าวทั้งหมดไว้ก่อนเพื่อตรวจสอบ ขณะที่ทางด้านผู้ร้องเรียนชี้แจงว่า ที่มาของเงินในระบบส่วนใหญ่มาจากการซื้อค่าโทรผ่านร้านค้าออนไลน์ที่มีส่วนลดให้ และผู้ร้องเรียนบางรายมีการซื้อค่าโทรผ่านคนรู้จัก โดยเมื่อได้รับการเติมเงินค่าโทรแล้ว ก็จะโอนเงินสดผ่านบัญชีธนาคารไปให้ผู้เติม ซึ่งค่าโทรที่ได้รับจะมีมูลค่าสูงกว่ายอดเงินที่จ่ายไป โดยที่ไม่รู้ว่าค่าโทรที่ได้รับเป็นการโอนมาจากผู้ใด
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า ภายหลังการไต่สวนข้อเท็จจริงจากทั้งสองฝ่าย ที่ประชุมคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ มีมติชี้ขาดว่า เนื่องจากประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ระบุว่า เมื่อสัญญาเลิกกัน ในกรณีที่ผู้ให้บริการมีเงินค้างชำระแก่ผู้ใช้บริการ ผู้ให้บริการก็ต้องคืนเงินคงเหลือในระบบให้กับผู้ใช้บริการ โดยที่ต้องดำเนินการคืนเงินภายใน 30 วันนับจากวันที่มีการบอกเลิกสัญญา และในกรณีที่บริษัทไม่สามารถคืนเงินให้กับผู้ใช้บริการได้ภายในกำหนดระยะเวลา บริษัทก็ต้องชำระค่าเสียประโยชน์เพิ่มเติมในอัตราเท่ากับดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้โดยนับตั้งแต่ 30 วันหลังจากวันที่มีการบอกเลิกสัญญา ดังนั้นในกรณีนี้บริษัทจึงไม่มีสิทธิปฏิเสธการคืนเงินให้กับผู้ใช้บริการ แต่หากบริษัทไม่เห็นด้วย ก็มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวในการที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง รวมทั้งอาจขอศาลอายัดเงินจำนวนดังกล่าวไว้ก่อนได้ตามที่ค่ายมือถืออ้างธุรกิจค้าค่าโทรเจาะช่องโหว่อุตสาหกรรมมือถือ มีทั้งกรณีโปรโมชั่นเติมเงินค่าโทรราคาถูกผ่านร้านค้าออนไลน์ กรณีชวนผู้ใช้โทรศัพท์ระบบรายเดือนเติมเงินเข้าระบบจ่ายล่วงหน้า แลกกับการรับเงินสดทันที โดยมีค่าส่วนต่าง รวมทั้งกรณีหลอกลวงให้เติมเงินหรือแอบเข้าทำธุรกรรมเติมเงินไปเบอร์ต่างๆ ซึ่งเมื่อผู้ใช้บริการพรีเพดมาปิดเบอร์ขอเงินคืนด้วยยอดรวมระดับแสนบาท ค่ายมือถือจึงขอไม่คืนเงินให้ อ้างเป็นยอดเงินในเลขหมายที่สูงผิดปกติ ผิดจากเจตนาของการเติมเงินเพื่อไว้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กสทช. ไม่รับลูก ยืนยันชัด หากผู้บริโภคเติมค่าโทรโดยช่องทางสุจริต ก็ย่อมมีสิทธิได้เงินคืนเต็มจำนวน

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า  กฎหมายของ กสทช. กำหนดไว้ชัดเจนว่า หากมีการปิดเบอร์ระบบเติมเงินและผู้ใช้บริการขอเงินในระบบคืน เมื่อได้ตรวจสอบหลักฐานแล้วว่าเป็นเจ้าของเบอร์ บริษัทก็ตาองคืนเงินให้ ซึ่งในกรณีผู้ร้องเรียนทั้งสามรายนี้ แน่ชัดว่ามีการลงทะเบียนซิมเป็นเจ้าของเบอร์ และมีหลักฐานการโอนเงินให้กับร้านค้าออนไลน์จำนวนมาก ซึ่งร้านค้าเหล่านี้ก็มีการประกาศโฆษณาขายค่าโทรบนอินเทอร์เน็ตอย่างเปิดเผยชัดเจน ดังนั้นจึงเป็นการซื้อค่าโทรที่ได้มาโดยสุจริต ส่วนการรับซื้อค่าโทรที่โอนค่าโทรมาจากเลขหมายรายเดือนก็มีลักษณะเป็นการยินยอมตกลงใจกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากทางบริษัทเห็นว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องไปสกัดกั้นที่ตัวกลางหรือไล่ทลายตัวกลาง ไม่ใช่มายึดเงินที่ปลายทางแล้วเก็บเงินไว้ในบัญชีบริษัท ซึ่งการทำเช่นนั้นย่อมไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เงินที่เติมเข้าไปในระบบคือเงินชำระค่าบริการล่วงหน้า ซึ่งผู้บริโภคอาจจะใช้บริการมากน้อยหรือไม่ใช้บริการเลยก็เป็นสิทธิของผู้บริโภค ดังนั้นเมื่อมีการยกเลิกบริการ มีเงินเหลือเท่าไรก็ต้องคืนให้ผู้บริโภคเต็มจำนวน ส่วนถ้าบริษัทยังมีความประสงค์ที่ไม่ต้องการคืนเงินให้กับผู้ใช้บริการ ก็ต้องไปใช้สิทธิตามกฎหมายอื่น เช่นฟ้องศาลเพื่อขออายัดเงินดังกล่าว แต่บริษัทก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเงินค่าโทรส่วนใดที่ได้มาโดยทุจริตหรือได้มาจากการต้มตุ๋นหลอกลวง ส่วนค่าโทรที่ได้มาโดยสุจริตก็ต้องคืนให้กับผู้ใช้บริการตามกฎหมายที่มีอยู่



ทั้งนี้หากเป็นการครอบครองเบอร์โดยสุจริตและเป็นการเติมเงินโดยสุจริต ก็เป็นความชอบธรรมที่ผู้ใช้บริการต้องได้เงินคงเหลือคืน ส่วนการที่ผู้ใช้บริการได้ค่าโทรมาในราคาถูกแล้วไปขอคืนเงินในราคาเต็มนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ให้บริการต้องไปอุดช่องโหว่ในการทำโปรโมชั่นทางการตลาดกับตัวแทนส่งเสริมการขายของบริษัทเอง รวมถึงบริษัทยังสามารถพิจารณาปรับลดวงเงินคงเหลือสะสมสูงสุดในแต่ละเลขหมาย ซึ่งปัจจุบัน กสทช. กำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 10,000 บาท แต่บริษัทก็สามารถปรับลดลงได้เอง เช่น 2,000 บาท หรือ 3,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบปกติ และเพื่อไม่ก่อให้เกิดแรงจูงใจนำช่องทางนี้ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น หรือว่าในส่วนของบริการที่เปิดให้ผู้ใช้บริการรายเดือนสามารถเติมเงินให้กับเบอร์เติมเงินได้นั้น บริษัทก็อาจกำหนดให้ผู้ใช้บริการสามารถเติมเงินให้ได้เฉพาะกับเบอร์ภายในครอบครัวหรือปลายทางที่รู้จักชัดเจน เพื่อแสดงความประสงค์ว่ามีความต้องการเติมเงินให้จริง แต่ถ้าบริษัทเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่พยายามอุดช่องโหว่เหล่านี้ ก็จะส่งผลเสียกับบริษัทเอง

ส่วนในประเด็นที่บริษัทมือถือจะปฏิเสธไม่คืนเงินค่าบริการคงเหลือในระบบ โดยอ้างเหตุเพราะยังไม่ได้รับชำระหนี้การเติมเงิน ประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคมกล่าวว่าไม่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากบริการที่บริษัทให้เครดิตลูกค้ารายเดือนสามารถเติมเงินให้ลูกค้าระบบเติมเงินนั้น เป็นบริการที่บริษัทนำเสนอขึ้นมาเอง และโดยระบบแล้ว เมื่อเงินมีการโอนก็ย่อมเป็นสิทธิของผู้ใช้บริการระบบเติมเงินโดยทันที ส่วนบริษัทก็มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ที่จะไปเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้บริการระบบรายเดือนที่เป็นผู้เติมเงินได้ในภายหลัง
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า ฝากเตือนถึงผู้ใช้บริการทั่วไปเกี่ยวกับการใช้บริการเบอร์รายเดือนเติมเงินค่าโทรให้กับเบอร์เติมเงินว่า ต้องระมัดระวังเรื่องการถูกหลอกลวง โดยควรต้องตรวจสอบว่าปลายทางมีตัวตนที่ชัดเจน เพราะบุคคลเหล่านี้ไม่ใช่ตัวแทนของบริษัทมือถือ แต่เมื่อถึงกำหนดชำระค่าบริการ ผู้ใช้บริการก็จะกลายเป็นหนี้ค่าบริการกับบริษัท และอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ใช้บริการต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือเรื่องรหัส OTP โดยต้องเก็บเป็นความลับเฉพาะบุคคล อย่าบอกกับผู้อื่นในทุกกรณี เพราะจะทำให้มิจฉาชีพสวมรอยทำธุรกรรมออนไลน์ในฐานะที่เป็นตัวเราได้ ต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่า การบอกรหัส OTP ให้กับบุคคลอื่นก็เหมือนกับเป็นการยื่นกุญแจบ้านให้โจรเข้ามาขโมยของในบ้านของเราเอง ดังนั้นหากมีใครมาขอให้บอกรหัส OTP ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า คนๆ นั้นอาจเป็นมิจฉาชีพ อย่าหลงเชื่อง่ายๆ เด็ดขาด-สำนักข่าวไทย.


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

นายกฯ รับคลิปเสียงจริง ซัด “ฮุนเซน” ปล่อยหวังรัฐบาล-กองทัพแตกแยก

ทำเนียบ 18 มิ.ย.- นายกฯ รับคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” เป็นของจริง แจงปมบอกแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม เป็นเทคนิคการเจรจาต่อรองสร้างสันติภาพ หลัง “ฮุนเซน” โกรธ ชี้จุดประสงค์หวังสร้างคะแนนนิยมรัฐบาลกัมพูชาที่ไม่สนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รับไม่ไว้ใจ จากนี้ไม่ขอคุยส่วนตัว ปัดตอบสัมพันธ์ 2 ตระกูล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงด่วนกรณีมีคลิปเสียงสนทนาระหว่างที่พูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เผยแพร่ออกมาผ่านโซเชียลมีเดีย โดยยอมรับว่าเป็นคลิปจริง เป็นการคุยกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ทราบข้อมูลจากล่ามที่แปลว่า ทางสมเด็จฮุน เซน โกรธแม่ทัพภาคที่ 2 ที่มีการพูดกันก่อนหน้านั้น เมื่อได้คุยกัน ตนจึงบอกว่า แม่ทัพภาคที่ 2 พูดกันแบบนี้ ในเมื่อเราทั้งไทยและกัมพูชาเป็นฝั่งตรงข้ามกันอยู่แล้ว ในตอนนั้นก็ต้องพูดแบบนี้ อย่าไปคิดเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่พยายามจะทำความเข้าใจ เพราะทางฝั่งสมเด็จฮุน เซน โกรธเรื่องนี้ และเป็นเทคนิคในการพูดหลังไมค์หลังบ้านแบบส่วนตัว ซึ่งการคุยโทรศัพท์ก็ไม่ควรเอามาเปิดเผย เพราะเป็นเทคนิคในการเจรจาพูดคุยต่อรอง ส่วนตัวคิดว่า ตนทำเพราะมีจุดมุ่งหมายและมีประเด็นที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขของบ้านเมืองและรักษาอธิปไตยของไทยไว้ ให้ผลประโยชน์อยู่กับประเทศชาติและประชาชน ตนก็คุยด้วยความซอฟต์และความนุ่มนวล เพราะบางทีเวลาคุยกันส่วนตัวก็เรียกกันลุงหลาน […]

ทบ.ติดแฮชแท็กเซฟ มทภ.2

กทม. 18 มิ.ย.- ทบ.ติดแฮชแท็กเซฟ มทภ.2 ส่วนหน้าสโมสรกองทัพบก ถ.วิภาวดีรังสิต ขึ้นข้อความให้กำลังใจผ่านจอแอลอีดี ขณะที่เพจโซเชียลกองทัพ แห่โพสต์ข้อความ #ศักดิ์ศรีของทหาร 18 มิ.ย.68 ภายหลังจากที่มีคลิปเสียงการพูดคุยระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลุดออกมา และมีการพูดถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ว่าอยู่ฝั่งตรงข้าม ล่าสุดเพจเฟซบุ๊กของหน่วยทหารต่างๆ อาทิ กรมกิจการพลเรือนทหารบก ได้โพสต์ข้อความว่า พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เรื่อง #ศักดิ์ศรีของทหาร 1. ทหาร คือ ผู้ที่ได้รับเกียรติอย่างสูงจากประชาชนทั้งชาติ ให้เป็นสุภาพบุรุษ ถืออาวุธเพื่อป้องกันประเทศ 2. ทหาร เป็นผู้เสียสละประโยชน์สุขส่วนตัว เพื่อความผาสุกของประชาชนและความอยู่รอดของชาติ 3. ทหาร คือ ผู้ที่รักและบูชาเกียรติยศมากกว่าเงิน นอกจากนี้ เพจ Smart Soldiers Strong […]

“อนุทิน” บอก “จบแล้วครับนาย” ขออย่าปรามาส จะเป็นฝ่ายค้านให้ดู

กทม. 18 มิ.ย.-“อนุทิน” สั่ง จนท.ขนของออกจากกระทรวง บอก “จบแล้วครับนาย” ไม่ต้องคุยนายกฯ หลัง “หมอมิ้ง” ยื่นไพ่ใบสุดท้าย ขออย่าปรามาส จะเป็นฝ่ายค้านให้ดู เตรียมซ้อมกับ “ไอซ์ รักชนก” เวลา 13.35 น. วันที่ 18 มิ.ย.68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์หลังนายกฯ ระบุว่ายังไม่แจ้งเงื่อนไขการปรับ ครม. ว่า ตนยังไม่ได้ยิน ซึ่งเมื่อวานนี้ได้คุยกับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ซึ่งเราก็บอกท่าทีเราไปแล้ว เมื่อถามว่า การขนของออกจากห้องทำงาน ถือเป็นการปิดประตูเจรจาหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ได้คุยกับ นพ.พรหมินทร์ ชัดเจนแล้วว่า เราคงไม่ได้เปลี่ยนอะไร และ นพ.พรหมินทร์ ได้ย้ำเงื่อนไขของพรรคเพื่อไทยว่าเป็นแบบนี้ เมื่อถามต่อว่า ต้องคุยกับนายกฯ อีกครั้งหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตนยังไม่ได้คุยกับนายกฯ และเมื่อวาน […]

“ฮุน เซน” ปล่อยแล้ว คลิปเสียงฉบับเต็ม 17 นาที

กัมพูชา 18 มิ.ย. – “ฮุน เซน” ปล่อยแล้ว คลิปเสียงคุย “แพทองธาร” ฉบับเต็ม 17 นาที เผยบันทึกเสียงสนทนาเพื่อความโปร่งใส ส่งต่อให้บุคคลอื่นราว 80 คน เว็บไซต์ขแมร์ ไทม์ส รายงานว่า “นายฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชาเปิดเผยผ่านสื่อโซเชียล มีเนื้อหาระบุว่า “เมื่อเย็นวันที่ 15 มิถุนายน ผมได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นเวลา 17 นาที 6 วินาที โดยมีนายเคลียง ฮวต รองผู้ว่าราชการกรุงพนมเปญ ทำหน้าที่ล่ามแปลภาษา ซึ่งตามปกติแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือตีความหมายผิดในเรื่องที่เป็นทางการ จึงจำเป็นต้องทำการบันทึกเสียงสนทนาเพื่อความโปร่งใส รวมถึงเพื่อวัตถุประสงค์ภายในของกัมพูชาด้วย และจากนั้นเป็นต้นมา ตนเอง ก็ได้แชร์เทปเสียงสนทนานี้ให้กับบุคคลอื่นๆ ราว 80 คน ที่รวมถึงสมาชิกคณะกรรมการถาวรของพรรค คณะทำงานวุฒิสภา หน่วยงานเฉพาะกิจด้านการต่างประเทศ หน่วยงานด้านการศึกษาและการเข้าถึงกลุ่มกิจการชายแดน และสมาชิกกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งในจำนวนคนเหล่านี้อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีบางคนที่ไม่พอใจนายกรัฐมนตรีของไทย ฮุน เซนโพสต์ต่อว่า “แต่หลังจากการสนทนาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง ผู้นำไทยกลับออกมากล่าวหาผู้นำกัมพูชาอย่างเปิดเผยว่าทำงานการเมืองอย่างไม่เป็นมืออาชีพ และขับเคลื่อนประเด็นทางการเมืองผ่านทางเฟซบุ๊ก […]

ข่าวแนะนำ

รองเลขาธิการนายกฯ แจ้งความดำเนินคดี “ฮุนเซน”

กทม. 20 มิ.ย.-“สมคิด” รองเลขาธิการนายกฯ เข้าแจ้งความตำรวจไซเบอร์ ดำเนินคดี “ฮุนเซน” กรณีคลิปเสียงหลุด ยันไม่ได้แก้เกี้ยวให้ “แพทองธาร” ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับสมเด็จฮุนเซน กรณีคลิปเสียงพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ความยาว 17.6 วินาที ที่หลุดออกมาจากฝั่งเขา จนสร้างความแตกแยก จึงได้แจ้งดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับภัยความมั่นคง ยืนยันไม่ได้เป็นการแก้เกี้ยวให้กับนายกฯ และไม่ได้เรียนให้นายกฯ ทราบว่าจะมาแจ้งความ พลตำรวจโทไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ ยืนยันไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะเกิดขึ้นในหรือนอกราชอาณาจักร เป็นคนไทยหรือต่างชาติ หากทำลายความมั่นคง ก็สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายไทยได้ โดยตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐาน สืบค้นแหล่งที่มาของต้นโพสต์ หารือกับอัยการสูงสุดและประสานสถานทูตประเทศนั้น เพื่อให้ส่งเอกสารไปยังประเทศปลายทางของผู้ที่ถูกออกหมายจับ ส่วนจะได้ตัวหรือไม่ ไม่อยากให้คาดการณ์.-สำนักข่าวไทย

นายกฯ ถึงอุบลฯ แม่ทัพภาค 2 รอรับ ชวนรับดอกไม้ชาวบ้าน

อุบลราชธานี 20 มิ.ย.-นายกฯ ถึงอุบลราชธานี แม่ทัพภาค 2 รอรับ ชวนรับดอกไม้จากประชาชน ก่อนขึ้น ฮ.ไปฐานมรกต ให้กำลังใจทหารแนวหน้า ขำสื่อรุมถาม “ไมค์เขกหัวนายกฯ” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงกองบิน 21 จ.อุบลราชธานี โดยมี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 รอรับ และเดินทางต่อไปที่สนามกีฬานานาชาติ อบต.โดมประดิษฐ์ มีว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าฯ อุบลราชธานี นายเกรียง กัลป์ตินันท์ อดีต รมว.มหาดไทย และ สส.พรรคเพื่อไทย มารอต้อนรับ น.ส.แพทองธาร ได้มอบสิ่งของให้แก่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง โดยชาวบ้านหลายคนนำดอกกุหลาบ และผ้าขาวม้า มามอบให้เป็นกำลังใจแก่นายกฯ ในระหว่างที่ประชาชนมอบดอกไม้ให้ นายกฯ ชวนแม่ทัพภาคที่ 2 มารับดอกไม้และถ่ายภาพร่วมกัน ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการพูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 ได้เคลียร์ใจแล้วหรือไม่ […]

นายกฯ​ นั่งหัวโต๊ะประชุม 7 ผู้ว่าฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา

ทำเนียบ 20 มิ.ย.- นายกรัฐมนตรี​ นั่งหัวโต๊ะประชุม 7 ผู้ว่าฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา ลั่น​แม้รัฐบาลหวังหลีกเลี่ยงการปะทะ​ แต่หากเกิดเหตุสุดวิสัย ทุกภาคส่วนต้องพร้อม ย้ำผู้บริหารมหาดไทย​ แม้มีการเปลี่ยนแปลง​ แต่อยากให้ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างเข้มแข็งไม่มีการเปลี่ยน บอก สัญญารัฐบาลไม่ทิ้งกระทรวงใด​ ขณะที่ช่วงบ่ายเตรียมบินไป จ.อุบลราชธานี พบแม่ทัพภาคที่ 2 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี​ เป็นประธานการประชุมติดตามดูแลการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล และวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ กับผู้ว่าราชการจังหวัด 7 จังหวัดชายแดน ประกอบด้วย​ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ตราด จันทบุรี สระแก้ว โดยมี นางสาวธีรรัตน์​ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง และนายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมการประชุม โดยนายกรัฐมนตรี​ […]

ปชป. ออกแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลต่อ ขอทบทวนสัมพันธ์กัมพูชา

พรรคประชาธิปัตย์ 20 มิ.ย.- “ประชาธิปัตย์” ออกแถลงการณ์ยืนยันดำรงสถานะพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมขอให้ทบทวนท่าทีความสัมพันธ์กับกัมพูชา พรรคประชาธิปัตย์ออกแถลงการณ์ระบุว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือและพิจารณาร่วมกัน เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 19 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ มีความเห็นเป็นฉันทามติร่วมกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้