กสทช.ไม่ให้ค่ายมือถืออ้างช่องโหว่ธุรกิจไม่คืนเงินผู้บริโภค

กรุงเทพฯ 20 ส.ค. กสทช. บอกปัดค่ายมือถือ ไม่ให้อ้างเหตุช่องโหว่จากธุรกิจค้าค่าโทรปฏิเสธการคืนเงินผู้บริโภค


นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ  ส่งบทควาถึงสื่อมวลชนเพื่อแสดงคามเห็นกรณีเกี่ยวกับคิดอัตราค่าบริการโทรศัพท์ว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการโทรคมนาคมล่าสุด ครั้งที่ 7/2563 ประจำเดือนสิงหาคม ได้มีการพิจารณาแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนกรณีผู้บริโภค 3 ราย ซึ่งเป็นผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินหรือแบบจ่ายล่วงหน้า (pre paid)  ต้องการปิดบริการกับค่ายมือถือรายหนึ่ง จำนวนทั้งสิ้น 24 เลขหมาย รวมยอดเงินกว่า 237,000 บาท แต่ปรากฏว่าถูกบริษัทปฏิเสธไม่ยอมคืนเงินคงเหลือในระบบให้ จึงได้ร้องเรียนความเดือดร้อนดังกล่าวมายังสำนักงาน กสทช.


จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในกระบวนการพิจารณาของคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ โดยได้เชิญคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเข้าชี้แจง พบว่า ผู้ร้องเรียนกลุ่มนี้มีการขอปิดบริการคราวละจำนวนหลายเลขหมาย และในแต่ละเลขหมายมียอดการขอคืนเงินสูงเกือบ 10,000 บาท ซึ่งในด้านผู้ให้บริการหรือค่ายมือถืออ้างว่า ยอดเงินในเลขหมายที่สูงมากนี้มีลักษณะไม่ใช่เป็นการเติมเงินไว้เพื่อการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามปกติ แต่ใช้เป็นช่องทางการโอนเงินหารายได้ แล้วมาขอรับเป็นเงินสด อีกทั้งยอดเงินบางส่วนก็เป็นการรับโอนต่อมาจากเลขหมายอื่นผ่านบริการของบริษัทที่ให้ผู้ใช้บริการระบบรายเดือน (post paid) สามารถเติมเงินค่าโทรให้กับผู้ใช้เบอร์เติมเงินได้ ซึ่งก็ปรากฏว่ามีผู้ใช้บริการแบบรายเดือนบางรายถูกหลอกให้เติมเงินให้ผู้อื่นและยังไม่ได้ชำระค่าบริการให้แก่บริษัท ดังนั้นบริษัทจึงต้องการอายัดเงินดังกล่าวทั้งหมดไว้ก่อนเพื่อตรวจสอบ ขณะที่ทางด้านผู้ร้องเรียนชี้แจงว่า ที่มาของเงินในระบบส่วนใหญ่มาจากการซื้อค่าโทรผ่านร้านค้าออนไลน์ที่มีส่วนลดให้ และผู้ร้องเรียนบางรายมีการซื้อค่าโทรผ่านคนรู้จัก โดยเมื่อได้รับการเติมเงินค่าโทรแล้ว ก็จะโอนเงินสดผ่านบัญชีธนาคารไปให้ผู้เติม ซึ่งค่าโทรที่ได้รับจะมีมูลค่าสูงกว่ายอดเงินที่จ่ายไป โดยที่ไม่รู้ว่าค่าโทรที่ได้รับเป็นการโอนมาจากผู้ใด
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า ภายหลังการไต่สวนข้อเท็จจริงจากทั้งสองฝ่าย ที่ประชุมคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ มีมติชี้ขาดว่า เนื่องจากประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549 ระบุว่า เมื่อสัญญาเลิกกัน ในกรณีที่ผู้ให้บริการมีเงินค้างชำระแก่ผู้ใช้บริการ ผู้ให้บริการก็ต้องคืนเงินคงเหลือในระบบให้กับผู้ใช้บริการ โดยที่ต้องดำเนินการคืนเงินภายใน 30 วันนับจากวันที่มีการบอกเลิกสัญญา และในกรณีที่บริษัทไม่สามารถคืนเงินให้กับผู้ใช้บริการได้ภายในกำหนดระยะเวลา บริษัทก็ต้องชำระค่าเสียประโยชน์เพิ่มเติมในอัตราเท่ากับดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้โดยนับตั้งแต่ 30 วันหลังจากวันที่มีการบอกเลิกสัญญา ดังนั้นในกรณีนี้บริษัทจึงไม่มีสิทธิปฏิเสธการคืนเงินให้กับผู้ใช้บริการ แต่หากบริษัทไม่เห็นด้วย ก็มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวในการที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง รวมทั้งอาจขอศาลอายัดเงินจำนวนดังกล่าวไว้ก่อนได้ตามที่ค่ายมือถืออ้างธุรกิจค้าค่าโทรเจาะช่องโหว่อุตสาหกรรมมือถือ มีทั้งกรณีโปรโมชั่นเติมเงินค่าโทรราคาถูกผ่านร้านค้าออนไลน์ กรณีชวนผู้ใช้โทรศัพท์ระบบรายเดือนเติมเงินเข้าระบบจ่ายล่วงหน้า แลกกับการรับเงินสดทันที โดยมีค่าส่วนต่าง รวมทั้งกรณีหลอกลวงให้เติมเงินหรือแอบเข้าทำธุรกรรมเติมเงินไปเบอร์ต่างๆ ซึ่งเมื่อผู้ใช้บริการพรีเพดมาปิดเบอร์ขอเงินคืนด้วยยอดรวมระดับแสนบาท ค่ายมือถือจึงขอไม่คืนเงินให้ อ้างเป็นยอดเงินในเลขหมายที่สูงผิดปกติ ผิดจากเจตนาของการเติมเงินเพื่อไว้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่อนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กสทช. ไม่รับลูก ยืนยันชัด หากผู้บริโภคเติมค่าโทรโดยช่องทางสุจริต ก็ย่อมมีสิทธิได้เงินคืนเต็มจำนวน

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า  กฎหมายของ กสทช. กำหนดไว้ชัดเจนว่า หากมีการปิดเบอร์ระบบเติมเงินและผู้ใช้บริการขอเงินในระบบคืน เมื่อได้ตรวจสอบหลักฐานแล้วว่าเป็นเจ้าของเบอร์ บริษัทก็ตาองคืนเงินให้ ซึ่งในกรณีผู้ร้องเรียนทั้งสามรายนี้ แน่ชัดว่ามีการลงทะเบียนซิมเป็นเจ้าของเบอร์ และมีหลักฐานการโอนเงินให้กับร้านค้าออนไลน์จำนวนมาก ซึ่งร้านค้าเหล่านี้ก็มีการประกาศโฆษณาขายค่าโทรบนอินเทอร์เน็ตอย่างเปิดเผยชัดเจน ดังนั้นจึงเป็นการซื้อค่าโทรที่ได้มาโดยสุจริต ส่วนการรับซื้อค่าโทรที่โอนค่าโทรมาจากเลขหมายรายเดือนก็มีลักษณะเป็นการยินยอมตกลงใจกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากทางบริษัทเห็นว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องไปสกัดกั้นที่ตัวกลางหรือไล่ทลายตัวกลาง ไม่ใช่มายึดเงินที่ปลายทางแล้วเก็บเงินไว้ในบัญชีบริษัท ซึ่งการทำเช่นนั้นย่อมไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เงินที่เติมเข้าไปในระบบคือเงินชำระค่าบริการล่วงหน้า ซึ่งผู้บริโภคอาจจะใช้บริการมากน้อยหรือไม่ใช้บริการเลยก็เป็นสิทธิของผู้บริโภค ดังนั้นเมื่อมีการยกเลิกบริการ มีเงินเหลือเท่าไรก็ต้องคืนให้ผู้บริโภคเต็มจำนวน ส่วนถ้าบริษัทยังมีความประสงค์ที่ไม่ต้องการคืนเงินให้กับผู้ใช้บริการ ก็ต้องไปใช้สิทธิตามกฎหมายอื่น เช่นฟ้องศาลเพื่อขออายัดเงินดังกล่าว แต่บริษัทก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเงินค่าโทรส่วนใดที่ได้มาโดยทุจริตหรือได้มาจากการต้มตุ๋นหลอกลวง ส่วนค่าโทรที่ได้มาโดยสุจริตก็ต้องคืนให้กับผู้ใช้บริการตามกฎหมายที่มีอยู่



ทั้งนี้หากเป็นการครอบครองเบอร์โดยสุจริตและเป็นการเติมเงินโดยสุจริต ก็เป็นความชอบธรรมที่ผู้ใช้บริการต้องได้เงินคงเหลือคืน ส่วนการที่ผู้ใช้บริการได้ค่าโทรมาในราคาถูกแล้วไปขอคืนเงินในราคาเต็มนั้น เป็นเรื่องที่ผู้ให้บริการต้องไปอุดช่องโหว่ในการทำโปรโมชั่นทางการตลาดกับตัวแทนส่งเสริมการขายของบริษัทเอง รวมถึงบริษัทยังสามารถพิจารณาปรับลดวงเงินคงเหลือสะสมสูงสุดในแต่ละเลขหมาย ซึ่งปัจจุบัน กสทช. กำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 10,000 บาท แต่บริษัทก็สามารถปรับลดลงได้เอง เช่น 2,000 บาท หรือ 3,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบปกติ และเพื่อไม่ก่อให้เกิดแรงจูงใจนำช่องทางนี้ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น หรือว่าในส่วนของบริการที่เปิดให้ผู้ใช้บริการรายเดือนสามารถเติมเงินให้กับเบอร์เติมเงินได้นั้น บริษัทก็อาจกำหนดให้ผู้ใช้บริการสามารถเติมเงินให้ได้เฉพาะกับเบอร์ภายในครอบครัวหรือปลายทางที่รู้จักชัดเจน เพื่อแสดงความประสงค์ว่ามีความต้องการเติมเงินให้จริง แต่ถ้าบริษัทเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่พยายามอุดช่องโหว่เหล่านี้ ก็จะส่งผลเสียกับบริษัทเอง

ส่วนในประเด็นที่บริษัทมือถือจะปฏิเสธไม่คืนเงินค่าบริการคงเหลือในระบบ โดยอ้างเหตุเพราะยังไม่ได้รับชำระหนี้การเติมเงิน ประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคมกล่าวว่าไม่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากบริการที่บริษัทให้เครดิตลูกค้ารายเดือนสามารถเติมเงินให้ลูกค้าระบบเติมเงินนั้น เป็นบริการที่บริษัทนำเสนอขึ้นมาเอง และโดยระบบแล้ว เมื่อเงินมีการโอนก็ย่อมเป็นสิทธิของผู้ใช้บริการระบบเติมเงินโดยทันที ส่วนบริษัทก็มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ที่จะไปเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้บริการระบบรายเดือนที่เป็นผู้เติมเงินได้ในภายหลัง
นายประวิทย์ กล่าวอีกว่า ฝากเตือนถึงผู้ใช้บริการทั่วไปเกี่ยวกับการใช้บริการเบอร์รายเดือนเติมเงินค่าโทรให้กับเบอร์เติมเงินว่า ต้องระมัดระวังเรื่องการถูกหลอกลวง โดยควรต้องตรวจสอบว่าปลายทางมีตัวตนที่ชัดเจน เพราะบุคคลเหล่านี้ไม่ใช่ตัวแทนของบริษัทมือถือ แต่เมื่อถึงกำหนดชำระค่าบริการ ผู้ใช้บริการก็จะกลายเป็นหนี้ค่าบริการกับบริษัท และอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ใช้บริการต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือเรื่องรหัส OTP โดยต้องเก็บเป็นความลับเฉพาะบุคคล อย่าบอกกับผู้อื่นในทุกกรณี เพราะจะทำให้มิจฉาชีพสวมรอยทำธุรกรรมออนไลน์ในฐานะที่เป็นตัวเราได้ ต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่า การบอกรหัส OTP ให้กับบุคคลอื่นก็เหมือนกับเป็นการยื่นกุญแจบ้านให้โจรเข้ามาขโมยของในบ้านของเราเอง ดังนั้นหากมีใครมาขอให้บอกรหัส OTP ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า คนๆ นั้นอาจเป็นมิจฉาชีพ อย่าหลงเชื่อง่ายๆ เด็ดขาด-สำนักข่าวไทย.


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“มาริษ” แจงข้าหลวงใหญ่ UN ปมกัมพูชา

สวิตเซอร์แลนด์ 27 ส.ค.-“มาริษ” เผยคุยรองข้าหลวงใหญ่ UN ปมไทย-กัมพูชา สัญญาณบวก เข้าใจไทยไม่ทำผิดกติการะหว่างประเทศ ไม่เห็นด้วย “ฮุน เซน” อัดเสียงคุยนายกฯ และการใช้สงครามข่าวปลอม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าพบหารือกับนางนาดา อัล-นาชิฟ (Nada Al-Nashif) รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อแสดงข้อมูลหลักฐานและชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา นายมาริษ เปิดเผยภายหลังการหารือว่า ได้เล่าให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ ฟังถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกัมพูชาในหลายประเด็น ซึ่งรองข้าหลวงใหญ่ฯมีความเห็นที่สนับสนุนประเทศไทยในหลายเรื่อง และมีท่าทีที่เป็นห่วงประเทศไทยมาก ซึ่งตนได้ชี้แจงข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการที่กัมพูชาใช้โซเชียลมีเดียโจมตีไทยมานานแล้ว มีการให้ข้อมูลว่าไทยลอกเลียนแบบวัดและประวัติศาสตร์ของกัมพูชา ซึ่งไทยพยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยความอดทนอดกลั้น และพยายามชี้แจงให้เห็นว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ก่อตั้งกันมาจากรากเหง้าทางวัฒนธรรมเดียวกัน ไทยต้องการแก้ไขปัญหาไม่ต้องการแสดงความร้าวฉานระหว่างชุมชนและ ประชาชนของทั้งสองประเทศ และเมื่อปัญหาคุกรุ่นมากขึ้นไทยก็พยายาม แก้ปัญหาด้วยการให้กัมพูชามาพูดคุยแบบทวิภาคี เป็นการอธิบายให้รองข้าหลวงใหญ่ฯ ได้เข้าใจว่าไทยปฏิบัติตามกติกา ยึดถือกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ และพยายามหาทางให้กัมพูชามาพูดคุยกับไทย ซึ่งไทยกับกัมพูชามีข้อตกลง MOU43 ที่ทั้งสองประเทศจะต้องแก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติวิธี และด้วยความจริงใจ นับเป็นกลไกที่องค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญ คือการเจรจาทวิภาคีโดยสันติและจริงใจ โดยไทยยึดมั่นมาโดยตลอด และเป็นเป้าหมายที่สำคัญของไทย นายมาริษ กล่าวว่าตนได้หยิบยกประเด็นที่สมเด็จฮุน เซน อัดเสียงพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีของไทย และนำมาเผยแพร่ในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง […]

“ทิดอลงกต-หมอบี” นอนคุก ศาลไม่ให้ประกันตัว

ศาลอาญาฯ 27 ส.ค. – “ทิดอลงกต-หมอบี” นอนคุก ศาลไม่ให้ประกันตัว เหตุคดีมีอัตราโทษสูง และมีทรัพย์สินมูลค่าความเสียหายสูง พนักงานสอบสวน กองกำกับการ 5 กองบังคับการป้องกันปราบปราม ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ขอฝากขังครั้งแรก พระราชวิสุทธิประชานาถ หรือนายอลงกต พูลมุข ผู้ต้องหาที่ 1 และนายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล ผู้ต้องหาที่ 2 ความผิดกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยินยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยทุจริต, ฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ความผิดกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่รักษาทรัพย์ใดฯ, เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ, ฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอนุญาตให้ฝากขัง 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.- 7 ก.ย.นี้ โดยผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นนี้ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 […]

พลทหารเหยียบกับระเบิดพื้นที่ปราสาทตาควาย

สุรินทร์ 27 ส.ค.-พลทหารเหยียบกับระเบิด ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ปราสาทตาควาย ขาขวาท่อนล่างขาด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 15.45 น. เกิดเหตุ พลทหาร อดิศร ป้อมกลาง สังกัด กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 23 เหยียบกับระเบิด ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ปราสาทตาควาย เบื้องต้นได้รับบาดเจ็บ บริเวณขาขวาท่อนล่างขาด หน่วยในพื้นที่ได้เข้าดำเนินการช่วยเหลือ และนำส่งเพื่อรับการรักษาแล้ว รายละเอียดอื่นๆ จะรายงานให้ทราบต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 แถลงผลประชุม RBC 11 ข้อ ย้ำปฏิบัติตามเงื่อนไขหยุดยิงเคร่งครัด

ศรีสะเกษ 27 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 แถลงผลประชุม RBC 11 ข้อ ที่ด่านศุลกากรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ย้ำให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ไม่ขยายขอบเขตความขัดแย้ง ไม่เผยแพร่ข่าวปลอม รวมถึงเห็นชอบให้ความร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ-แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คำแถลงข่าวร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) สมัยวิสามัญ ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 ราชอาณาจักรไทย และภูมิภาคทหารที่ 4 ราชอาณาจักรกัมพูชา วันที่ 27 สิงหาคม 2568 จังหวัดศรีสะเกษ ราชอาณาจักรไทย การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) สมัยวิสามัญ จัดขึ้นวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ในจังหวัดศรีสะเกษ ราชอาณาจักรไทย โดยมี พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และพลโท […]