กรุงเทพฯ 16 ก.ค. – ธปท.มองไทยมีโอกาสล็อกดาวน์รอบ 2 ต่ำ แนะแบ่งงบฟื้นฟู 4 แสนล้าน จ้างคนทดลองวัคซีน ขณะที่นักวิชาการตั้งข้อสังเกตตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ของจีนที่ออกมาเป็นบวก เพราะเน้นการลงทุนในประเทศแบบพุ่งเป้า ด้าน บล.กสิกรไทยมองเศรษฐกิจไทยไม่ฟื้นตัวเร็วแบบจีน เตือนเผื่อใจวัคซีนอาจล่าช้า แนะถือเงินสดและออมทอง หลังตลาดหุ้นยังผันผวนสูง
ในงานสัมมนา The Vision for the next normal “เปิดวิสัยทัศน์สู่บรรทัดฐานใหม่ของเศรษฐกิจและการลงทุน” จัดโดยธนาคารกสิกรไทย นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ไม่ได้หมายถึงจำนวนผู้ติดเชื้อ แต่คือ การหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือการล็อกดาวน์ และมองว่าไทยมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะล็อกดาวน์แบบรอบแรกน้อย เพราะจากสถานการณ์ปัจจุบันยังอยู่ภายใต้การควบคุมได้
ทั้งนี้ จากที่หลายฝ่ายประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจุดต่ำสุดอยู่ที่ไตรมาส 2 แต่หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจโลกอาจอยู่ที่ไตรมาส 3 หรือ 4 ซึ่ง ธปท.ประเมินและเตรียมมาตรการเพิ่มเติม เพื่อรองรับแล้ว เช่น การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% เพื่อให้มีพื้นที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีกหากจำเป็น เช่นเดียวกับภาครัฐที่ยังสามารถกู้เงินเพิ่มได้อีก เพราะปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ระดับต่ำ และมองว่ารัฐบาลจะต้องเน้นไปที่เรื่องของการเยียวยา เพื่อพยุงไม่ให้คนจมน้ำ พร้อมแนะอาจนำเงินในส่วนของ 400,000 ล้านบาท ไปใช้ในเรื่องของการพัฒนาวัคซีน เช่น การจ้างคนมาทดลองวัคซีน ซึ่งถือเป็นการจ้างงานในรูปแบบหนึ่ง
ขณะที่นายอาร์ม ตั้งนิรันดร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสังเกตถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ของจีนที่ออกมาเป็นบวก 3.2% เนื่องจากภาครัฐมีการอัดการลงทุนแบบพุ่งเป้า คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและเอไอ ขณะที่ราคาน้ำมันและวัตถุดิบตกลง ทำให้การนำเข้าเกินดุล ซึ่งส่งผลต่อตัวเลขจีดีพี นอกจากนี้ รัฐบาลจีนไม่ได้มุ่งที่เรื่องของตัวเลขจีดีพี แต่มุ่งไปที่ตัวเลขผู้ว่างงาน และไม่ได้มุ่งอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบสูงเหมือนตอนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 เพราะมองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดยังมีความไม่แน่นอน จึงต้องการเก็บกระสุนไว้ใช้เมื่อจำเป็น
ด้านนายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย มองว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ฟื้นเป็นตัววีแบบเศรษฐกิจจีน เพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจต่างกัน จีนพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ไทยพึ่งพาเศรษฐกิจจากต่างประเทศเป็นหลัก พร้อมแนะให้เผื่อใจเรื่องของวัคซีนที่หลายฝ่ายมองว่าจะออกมาปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า เพราะหากออกมาช้ากว่าคาดจะส่งผลต่อตลาดหุ้นได้
อย่างไรก็ตาม หากเทียบการลงทุนในพันธบัตรปัจจุบัน มองว่าตลาดหุ้นมีความน่าสนใจกว่า แต่ตลาดหุ้นก็ยังมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงเดือนหน้าที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มประกาศออกมา หากต่ำกว่าที่คาดก็จะยิ่งส่งผลลบต่อตลาด ดังนั้น จึงแนะให้ถือเงินสดและแบ่งส่วนหนึ่งสำหรับลงทุนในทองคำ.- สำนักข่าวไทย