สำนักข่าวไทย 16 ก.ค.- “พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าสร้างเศรษฐกิจเชื่อมการพัฒนาฐานรากทุกมิติ เสริมความมั่นคงจังหวัดชายแดนใต้
วันนี้ (16 ก.ค.) เวลา 10.00 – 12.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2563 โดยมีสาระสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น การใช้ประโยชน์ที่ดิน เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก การขับเคลื่อนการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าแบบครบวงจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563 การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนและการบริหารจัดการด่านการค้าชายแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 21มกราคม 2563 ณ จังหวัดนราธิวาส ได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว เพื่อนำความคืบหน้าการดำเนินการที่ผ่าน มาให้ กพต. ทราบและพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป การให้ความช่วยเหลือเยียวยากรณีราษฎร เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ 3 ราย บนเทือกเขาตะเว จังหวัดนราธิวาส
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสำคัญของการพิจารณาในที่ประชุมในครั้งนี้ คือ ผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อขับเคลื่อน โครงการในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เพื่อนำไปสู่การกำหนดทิศทางและแนวทาง สำคัญในการบูรณาการการทำงานของทุกภาคส่วนให้เป็นตามเป้าหมายคือการอยู่ดีกินดีของประชาชนในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้
พล.อ.ประวิตร ในฐานะประธาน กพต. กล่าวว่า ที่ กพต. ได้ร่วมกันพิจารณาในวันนี้ หลายเรื่องมีความสำคัญต่อการวางรากฐานการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในวันข้างหน้า รวมทั้งเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งในอดีตและหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของประเทศไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ดังนั้น ก็ขอให้ ศอ.บต. เร่งรัดกำกับติดตามการทำงานทุกเรื่องอย่างใกล้ชิดและให้รายงานผลและความสำเร็จอย่างต่อเนื่องโดยประสานการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด และขอให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือกับ ศอ.บต. ตามบทบาทและอำนาจหน้าที่ของทางราชการ อย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถเดินหน้าการพัฒนาไปพร้อมกันโดยคำนึงถึงประโยชน์และความสุขของประชาชนเป็นสำคัญและและเชื่อมโยงการพัฒนาไปสู่ความมั่นคง” โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบและให้ ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำไปสู่การปฏิบัติ ดังนี้ การใช้ประโยชน์ที่ดินผ่านการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนสามารถ เข้าไปใช้ประโยชน์ไปพร้อมกับการปลูกไม้มีค่าเพื่อสร้างอาชีพ สร้างร้ายได้ให้กับตนเองและครอบครัวและ เป็นการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ จำนวน 10 ล้านต้น ทำให้เกิดความสมดุลและสอดรับกับการพัฒนา เศรษฐกิจโลกที่ต้องพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อันเป็นฐานสำคัญไปสู่การพัฒนา เศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น เศรษฐกิจฐานชีวภาพ เกษตรอุตสาหกรรม เกษตรเพื่ออาหารและการแปรรูป เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย