รัฐสภา 15 ก.ค.-รอง ผบ.ตร.แจง กมธ.กฎหมายฯ ยันไม่ถูกกดดันทำคดีน้องชมพู่ ตรวจดีเอ็นเอประชาชนตามกฎหมาย วอนสังคมอย่าเพิ่งด่วนสรุป ส่วนแพทย์ที่ชันสูตรรอบ 2 ชี้บาดแผลที่อวัยวะเพศเกิดจากเคลื่อนย้ายศพ ไม่ใช่ล่วงละเมิดทางเพศ ด้าน กมธ. เตรียมลงพื้นที่มุกดาหาร 19 ก.ค.นี้ตามคืบหน้า
คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร มีนายสิระเจนจาคะประธานคณะกรรมาธิการ เชิญพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชี้แจงการสืบสวนหาคนร้ายในคดีน้องชมพู่เสียชีวิตปริศนาในป่า จ.มุกดาหาร โดยนายสิระ กล่าวว่า คดีนี้เรียกประชาชนมาสอบสวนมากเกือบ1000 คน จึงตั้งคำถามว่ามีธงต้องการหาแพะมารับโทษเพื่อปิดคดีหรือไม่ และหลังจากนี้จะเชิญสื่อทีวี 2ช่องมาให้ข้อมูลเพื่อตรวจสอบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่
นายสุทัศน์ เงินหมื่น กรรมาธิการ กล่าวว่า การสืบสวนสอบสวนคดีนี้สามารถทำได้หลายทางโดยเฉพาะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ศาลจะใช้อ้างอิงและเป็นที่เชื่อถือในระดับหนึ่ง ดังนั้น ขอให้ตำรวจสรุปปิดคดีนี้ด้วยความระมัดระวัง
ด้านพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข กล่าวว่า ขอยืนยันต่อกรรมาธิการว่าคดีนี้ตำรวจให้ข่าวน้อยมาก การสืบสวนคดีเริ่มจากตำรวจในท้องที่และประสานให้ทีมสืบสวนส่วนกลางเข้าช่วย เพราะมีความยากลำบากในการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน ส่วนที่ต้องตรวจดีเอ็นเอ เพราะพบวัตถุพยานหลายอย่างจากร่างกายของน้องชมพู่ การตรวจดีเอ็นเอจึงจำเป็น เพื่อหาว่าใครมีความเกี่ยวพันบ้าง ประชาชนกว่า900คนที่เป็นข่าวถูกเรียกสอบ เป็นแค่การพูดคุยกัน ไม่ได้บังคับหรือละเมิด ทุกคนพูดคุยด้วยความสมัครใจ และคดีนี้พยานจริง ๆ ในสำนวนเพียง 63ราย ที่ผ่านมาไม่เคยมีประชาชนการร้องเรียนว่าถูกตำรวจคุกคาม การเก็บดีเอ็นเอทำตามกฎหมายมาตรา 131 ป.วิอาญา เพียง 100ว่ารายเท่านั้น คดีอื่นบางคดี เก็บดีเอ็นเอมากกว่านี้
“คดีนี้ เป็นคดีแรกในชีวิตที่มีประเด็นให้นำเสนอข่าวทุกวัน ยืนยันว่าไม่มีใครกดดันเจ้าหน้าที่ได้ แต่การนำเสนอข่าวทำให้การทำงานยากขึ้นบ้าง ยืนยันว่าตำรวจรับฟังข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ทุกด้าน ฟังพยานจากทุกคน แต่ต้องแยกข้อเท็จจริงกับข้อสันนิษฐาน เพราะหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ไม่ตอบทั้งหมด การสืบสวนต้องดูทุกอย่างประกอบ ส่วนประเด็นตั้งธงหาแพะรับโทษ ยืนยันว่าการทำคดีไม่ได้จำเป็นที่ต้องจับคนร้ายได้ทุกคดี แม้จะตรวจดีเอ็นเอ 700-800 บางคดีก็จับไม่ได้ หลายเรื่องทำเป็นปี ๆ ก็ยังไม่จบ” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว
ด้านนายสิระ กล่าวว่า สิ่งที่พูดมาเห็นได้ชัดว่าตำรวจถูกกดดัน และเตรียมลงพื้นที่ไปถามประชาชนว่าให้ตรวจดีเอ็นเอโดยสมัครใจหรือไม่ พร้อมเตือนตำรวจว่าการพยายามหว่านแหสอบสวนเรื่องนี้ เป็นเรื่องไม่ปกติในการทำคดี จึงขอให้ระวังการทำหน้าที่ ทำให้พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวย้ำว่า คดีนี้ไม่มีทางกดดันได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน กดดันให้ตายยังไงก็ทำไม่ได้ ตำรวจไม่เคยทำนอกกติกา ตำรวจพยายามหลบผู้สื่อข่าวในการตรวจดีเอ็นเอ แต่ยังมีสื่อนำไปเสนอข่าว จึงเป็นประเด็น และผู้ที่ถูกตรวจ ตำรวจไม่เคยถือเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เวลาตำรวจพูดคุยกับใครสื่อก็ตามไปถ่ายนำเสนอข่าว ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นผู้ต้องสงสัย
“การจะคัดเลือกว่าจะเก็บดีเอ็นเอใครมีเหตุและผลในตัวเอง ไม่ใช่เจอใครก็เก็บไปเรื่อยเปื่อย ตราบเท่าที่พบว่ามีข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์ก็ต้องทำ แต่ไม่ใช่เที่ยวไปพูดอะไรกับใครทุกคน จึงขอฝากไปบอกว่าว่าถ้ามีเจ้าหน้าที่รู้สึกขัดข้องไม่สบายใจ ขอให้แจ้งาได้ ส่วนการผ่าพิสูจน์ศพมีประโยชน์หรือไม่ ขอยืนยันว่ามีแน่นอน แม้แพทย์ไม่สามารถยืนยันสาเหตุการตาย แต่อย่างน้อยได้ตรวจสารพิษในกระเพาะ ตรวจหาของเหลวในที่ต่าง ๆ หากเจออะไรที่เป็นประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน ตอนนี้อาจจะไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์มากนัก แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้อะไ รซึ่งการชันสูตรศพเป็นการคาดหวังว่าอย่างน้อยจะเจออะไร” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่กรรมาธิการสอบถามถึงการชันสูตร สองครั้งที่แตกต่างกัน เหตุใดจึงต้องตรวจซ้ำ เนื่องจากการตรวจในครั้งแรกแล้วญาติยังติดใจสงสัยว่ามีข้อมู ลอื่นเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญอื่นหรือไม่ ครอบครัวจึงร้องขอให้ผ่าเป็นครั้งที่ 2 ส่วนหากผลขัดแย้งกัน ต้องหาคำอธิบาย ยืนยันว่าคดีนี้มีแต่ข่าวที่นำเสนอไปเองว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศ แต่ตำรวจยังไม่เคยสรุปแบบนี้ เพราะการผ่าครั้งที่ 2 อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงได้ เช่นการขนย้าย ซึ่งแพทย์ที่ชันสูตรมีคำอธิบายอยู่แล้ว
“ทุกวันนี้ สรุปคดีกันเอาเอง แต่ตำรวจยึดข้อมูลจากรายงานการชันสูตรเท่านั้น เพราะตำรวจเน้นที่ข้อเท็จจริงจากรายงานทั้ง2ฉบับ ยืนยันว่าตำรวจไม่มีปัญหากับความเห็นของแพทย์ที่ต่างกันขึ้นอยู่กับน้ำหนักของรายงานแต่ละฉบับ หากผลชันสูตรครั้งที่2ไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอ ตำรวจก็ยึดผลชันสูตรครั้งแรกเป็นหลักอยู่แล้ว” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว
ส่วนตัดประเด็นเรื่องการละเมิดทางเพศหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ขอให้อยู่ในสำนวนสอบสวน และถามว่าศพของน้องไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร มี 2 อย่างคือไปเองหรือถูกล่อลวงไป ถ้าถามว่าไปเองมีโอกาสเป็นไปได้กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าไม่ได้ไปเองก็ต้องดูว่ามีใครที่เป็นสาเหตุให้ไปและมีใครต้องรับผิดชอบกับการไปตรงนั้นหรือไม่
“ขอเน้นย้ำว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไร ผมเข้าใจว่าทุกคนอยากรู้ข้อเท็จจริงอยากให้เรื่องนี้มันจบ ผมอ่านโพสต์บางคนบอกทนไม่ไหว ก็ฝากพี่น้องประชาชนว่าอยากให้ใช้วิจารณญาณรับฟังและขอบคุณที่ได้โอกาสมาชี้แจง” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว
ด้านนายวิรัติ พาณิชย์พงษ์ กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีกรรมการพิจารณาเปรียบเทียบการผ่าศพ 2 ครั้ง เหมือนคดีนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ เพื่อผ่าครั้งที่ 3 ว่าแตกต่างอย่างไร ซึ่งแพทยสภารับผิดชอบเรื่องนี้ได้ เพราะคดีนี้พฤติการณ์ตายยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่กลับข้ามขั้นไปตรวจดีเอ็นเอหาสาเหตุการตายแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะศพเน่าไปแล้ว ดังนั้นต้องหาสาเหตุการตายให้ได้ก่อนว่ามีข้อสันนิษฐานอย่างไร
นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ เลขาธิการราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจะผ่าศพ 2 ครั้ง พนักงานสอบสวนต้องถามแพทยสภาก่อนเพื่อตั้งกรรมการ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วน ไม่ควรจะส่งศพไปผ่าเองที่ไหนก็ได้ ซึ่งการผ่าศพรอบที่ 2 หลักฐานจะได้น้อยกว่ารอบแรกอยู่แล้ว ศพที่ส่งมาอยู่ในสภาพที่ถูกผ่าออกเป็นชิ้นส่วนแล้ว
นพ.ภาณุวัฒน์ ชุติวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาที่สื่อ เพราะสื่อเข้าไปถามข้อมูลจากพยานถึงเรื่องในครอบครัว ดังนั้นคดีนี้มีความกดดันอย่างแน่นอน ส่วนการผ่าศพ 2 ครั้ง ยืนยันว่าในทางนิติเวชไม่มีทางจะได้ข้อมูลมากกว่าครั้งแรก แต่ครั้งที่ 2 อาจถูกชี้นำได้ ในทางการแพทย์ ไม่มีใครอยากผ่าซ้ำ และการผ่าครั้งที่2 ผ่าได้ยากมาก ๆ
“แต่ในทางสังคมมักเชื่อไปเองว่าครั้งที่ 2 มักได้ผลมากกว่าครั้งแรก ส่วนตัวคิดว่าคดีนี้กำลังมาผิดทาง เพราะ เมื่อได้ผลจากครั้งแรกไม่พอใจ ต้องส่งไปผ่าครั้งที่2 เสมอ ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในการทำหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน และเมื่อผลออกมาต่างกัน คำตอบก็จะไปออกในผลที่น่าพอใจมากที่สุด ทั้งที่ไม่รู้ว่าผลครั้งไหนถูกต้อง” นพ.ภาณุวัฒน์ กล่าว
พ.ต.ต. นพ.ณัฐพงศ์ กิตติโสภณพันธุ์ แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ แพทย์ชันสูตรศพน้องชมพู่ครั้งที่ 2 ยืนยันว่า การชันสูตรครั้งที่ 2 พบบาดแผลฉีกขาดบริเวณอวัยวะเพศจริง แต่อาจเกิดจากการผ่าครั้งแรกหรืออาจเกิดจากการเคลื่อนย้ายศพ จึงยืนยันว่าไม่ได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และไม่สามารถสรุปสาเหตุการตายได้ว่ามาจากอะไร เพราะพฤติกรรมการตายไม่สามารถตอบได้แน่ชัดว่ามีใครทำให้ตายหรือไม่
ด้านนพ.ศักดิ์สิทธิ์ บุญลักษณ์ หัวหน้ากลุ่มงานนิติเวช โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ผู้ผ่าชันสูตรศพน้องชมพู่คนแรก ยืนยันว่าไม่มีบาดแผลที่ส่งผลถึงแก่ความตาย มีเพียงบาดแผลที่เป็นรอยขีดข่วนเท่านั้น
นายสิระ กล่าวว่าที่ประชุมมีมติจะลงพื้นที่ จังหวัดมุกดาหาร ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดในวันอาทิตย์ที่19 ก.ค.นี้.-สำนักข่าวไทย