รองผบ.ตร.ขอสังคมอย่าด่วนสรุปคดีน้องชมพู่

รัฐสภา 15 ก.ค.-รอง ผบ.ตร.แจง กมธ.กฎหมายฯ ยันไม่ถูกกดดันทำคดีน้องชมพู่ ตรวจดีเอ็นเอประชาชนตามกฎหมาย วอนสังคมอย่าเพิ่งด่วนสรุป ส่วนแพทย์ที่ชันสูตรรอบ 2 ชี้บาดแผลที่อวัยวะเพศเกิดจากเคลื่อนย้ายศพ ไม่ใช่ล่วงละเมิดทางเพศ ด้าน กมธ. เตรียมลงพื้นที่มุกดาหาร 19 ก.ค.นี้ตามคืบหน้า 


คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร มีนายสิระเจนจาคะประธานคณะกรรมาธิการ เชิญพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติชี้แจงการสืบสวนหาคนร้ายในคดีน้องชมพู่เสียชีวิตปริศนาในป่า จ.มุกดาหาร โดยนายสิระ กล่าวว่า คดีนี้เรียกประชาชนมาสอบสวนมากเกือบ1000 คน จึงตั้งคำถามว่ามีธงต้องการหาแพะมารับโทษเพื่อปิดคดีหรือไม่ และหลังจากนี้จะเชิญสื่อทีวี 2ช่องมาให้ข้อมูลเพื่อตรวจสอบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่



นายสุทัศน์ เงินหมื่น กรรมาธิการ กล่าวว่า การสืบสวนสอบสวนคดีนี้สามารถทำได้หลายทางโดยเฉพาะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ที่ศาลจะใช้อ้างอิงและเป็นที่เชื่อถือในระดับหนึ่ง ดังนั้น ขอให้ตำรวจสรุปปิดคดีนี้ด้วยความระมัดระวัง

ด้านพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข กล่าวว่า ขอยืนยันต่อกรรมาธิการว่าคดีนี้ตำรวจให้ข่าวน้อยมาก การสืบสวนคดีเริ่มจากตำรวจในท้องที่และประสานให้ทีมสืบสวนส่วนกลางเข้าช่วย เพราะมีความยากลำบากในการเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน ส่วนที่ต้องตรวจดีเอ็นเอ เพราะพบวัตถุพยานหลายอย่างจากร่างกายของน้องชมพู่ การตรวจดีเอ็นเอจึงจำเป็น เพื่อหาว่าใครมีความเกี่ยวพันบ้าง  ประชาชนกว่า900คนที่เป็นข่าวถูกเรียกสอบ เป็นแค่การพูดคุยกัน ไม่ได้บังคับหรือละเมิด ทุกคนพูดคุยด้วยความสมัครใจ และคดีนี้พยานจริง ๆ ในสำนวนเพียง 63ราย ที่ผ่านมาไม่เคยมีประชาชนการร้องเรียนว่าถูกตำรวจคุกคาม การเก็บดีเอ็นเอทำตามกฎหมายมาตรา 131 ป.วิอาญา เพียง 100ว่ารายเท่านั้น คดีอื่นบางคดี เก็บดีเอ็นเอมากกว่านี้ 

“คดีนี้ เป็นคดีแรกในชีวิตที่มีประเด็นให้นำเสนอข่าวทุกวัน ยืนยันว่าไม่มีใครกดดันเจ้าหน้าที่ได้ แต่การนำเสนอข่าวทำให้การทำงานยากขึ้นบ้าง ยืนยันว่าตำรวจรับฟังข้อมูลทางนิติวิทยาศาสตร์ทุกด้าน ฟังพยานจากทุกคน แต่ต้องแยกข้อเท็จจริงกับข้อสันนิษฐาน เพราะหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ไม่ตอบทั้งหมด การสืบสวนต้องดูทุกอย่างประกอบ ส่วนประเด็นตั้งธงหาแพะรับโทษ ยืนยันว่าการทำคดีไม่ได้จำเป็นที่ต้องจับคนร้ายได้ทุกคดี แม้จะตรวจดีเอ็นเอ 700-800 บางคดีก็จับไม่ได้ หลายเรื่องทำเป็นปี ๆ ก็ยังไม่จบ” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว 


ด้านนายสิระ กล่าวว่า สิ่งที่พูดมาเห็นได้ชัดว่าตำรวจถูกกดดัน และเตรียมลงพื้นที่ไปถามประชาชนว่าให้ตรวจดีเอ็นเอโดยสมัครใจหรือไม่ พร้อมเตือนตำรวจว่าการพยายามหว่านแหสอบสวนเรื่องนี้ เป็นเรื่องไม่ปกติในการทำคดี จึงขอให้ระวังการทำหน้าที่ ทำให้พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวย้ำว่า คดีนี้ไม่มีทางกดดันได้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน กดดันให้ตายยังไงก็ทำไม่ได้ ตำรวจไม่เคยทำนอกกติกา ตำรวจพยายามหลบผู้สื่อข่าวในการตรวจดีเอ็นเอ แต่ยังมีสื่อนำไปเสนอข่าว จึงเป็นประเด็น และผู้ที่ถูกตรวจ ตำรวจไม่เคยถือเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เวลาตำรวจพูดคุยกับใครสื่อก็ตามไปถ่ายนำเสนอข่าว ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นผู้ต้องสงสัย 

“การจะคัดเลือกว่าจะเก็บดีเอ็นเอใครมีเหตุและผลในตัวเอง ไม่ใช่เจอใครก็เก็บไปเรื่อยเปื่อย ตราบเท่าที่พบว่ามีข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์ก็ต้องทำ แต่ไม่ใช่เที่ยวไปพูดอะไรกับใครทุกคน จึงขอฝากไปบอกว่าว่าถ้ามีเจ้าหน้าที่รู้สึกขัดข้องไม่สบายใจ ขอให้แจ้งาได้ ส่วนการผ่าพิสูจน์ศพมีประโยชน์หรือไม่ ขอยืนยันว่ามีแน่นอน แม้แพทย์ไม่สามารถยืนยันสาเหตุการตาย แต่อย่างน้อยได้ตรวจสารพิษในกระเพาะ ตรวจหาของเหลวในที่ต่าง ๆ  หากเจออะไรที่เป็นประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน ตอนนี้อาจจะไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์มากนัก แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้อะไ รซึ่งการชันสูตรศพเป็นการคาดหวังว่าอย่างน้อยจะเจออะไร” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว

พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่กรรมาธิการสอบถามถึงการชันสูตร สองครั้งที่แตกต่างกัน เหตุใดจึงต้องตรวจซ้ำ เนื่องจากการตรวจในครั้งแรกแล้วญาติยังติดใจสงสัยว่ามีข้อมู ลอื่นเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญอื่นหรือไม่ ครอบครัวจึงร้องขอให้ผ่าเป็นครั้งที่ 2 ส่วนหากผลขัดแย้งกัน ต้องหาคำอธิบาย ยืนยันว่าคดีนี้มีแต่ข่าวที่นำเสนอไปเองว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศ แต่ตำรวจยังไม่เคยสรุปแบบนี้ เพราะการผ่าครั้งที่ 2 อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงได้ เช่นการขนย้าย ซึ่งแพทย์ที่ชันสูตรมีคำอธิบายอยู่แล้ว 


“ทุกวันนี้ สรุปคดีกันเอาเอง แต่ตำรวจยึดข้อมูลจากรายงานการชันสูตรเท่านั้น เพราะตำรวจเน้นที่ข้อเท็จจริงจากรายงานทั้ง2ฉบับ ยืนยันว่าตำรวจไม่มีปัญหากับความเห็นของแพทย์ที่ต่างกันขึ้นอยู่กับน้ำหนักของรายงานแต่ละฉบับ หากผลชันสูตรครั้งที่2ไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอ ตำรวจก็ยึดผลชันสูตรครั้งแรกเป็นหลักอยู่แล้ว” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว

ส่วนตัดประเด็นเรื่องการละเมิดทางเพศหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ขอให้อยู่ในสำนวนสอบสวน และถามว่าศพของน้องไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร มี 2 อย่างคือไปเองหรือถูกล่อลวงไป ถ้าถามว่าไปเองมีโอกาสเป็นไปได้กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าไม่ได้ไปเองก็ต้องดูว่ามีใครที่เป็นสาเหตุให้ไปและมีใครต้องรับผิดชอบกับการไปตรงนั้นหรือไม่

“ขอเน้นย้ำว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไร ผมเข้าใจว่าทุกคนอยากรู้ข้อเท็จจริงอยากให้เรื่องนี้มันจบ ผมอ่านโพสต์บางคนบอกทนไม่ไหว ก็ฝากพี่น้องประชาชนว่าอยากให้ใช้วิจารณญาณรับฟังและขอบคุณที่ได้โอกาสมาชี้แจง”  รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าว


ด้านนายวิรัติ พาณิชย์พงษ์ กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีกรรมการพิจารณาเปรียบเทียบการผ่าศพ 2 ครั้ง เหมือนคดีนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ เพื่อผ่าครั้งที่ 3 ว่าแตกต่างอย่างไร ซึ่งแพทยสภารับผิดชอบเรื่องนี้ได้ เพราะคดีนี้พฤติการณ์ตายยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่กลับข้ามขั้นไปตรวจดีเอ็นเอหาสาเหตุการตายแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะศพเน่าไปแล้ว ดังนั้นต้องหาสาเหตุการตายให้ได้ก่อนว่ามีข้อสันนิษฐานอย่างไร 

นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ เลขาธิการราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจะผ่าศพ 2 ครั้ง พนักงานสอบสวนต้องถามแพทยสภาก่อนเพื่อตั้งกรรมการ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วน ไม่ควรจะส่งศพไปผ่าเองที่ไหนก็ได้ ซึ่งการผ่าศพรอบที่ 2 หลักฐานจะได้น้อยกว่ารอบแรกอยู่แล้ว ศพที่ส่งมาอยู่ในสภาพที่ถูกผ่าออกเป็นชิ้นส่วนแล้ว

นพ.ภาณุวัฒน์ ชุติวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาที่สื่อ เพราะสื่อเข้าไปถามข้อมูลจากพยานถึงเรื่องในครอบครัว ดังนั้นคดีนี้มีความกดดันอย่างแน่นอน ส่วนการผ่าศพ 2 ครั้ง ยืนยันว่าในทางนิติเวชไม่มีทางจะได้ข้อมูลมากกว่าครั้งแรก แต่ครั้งที่ 2 อาจถูกชี้นำได้ ในทางการแพทย์ ไม่มีใครอยากผ่าซ้ำ และการผ่าครั้งที่2 ผ่าได้ยากมาก ๆ 

“แต่ในทางสังคมมักเชื่อไปเองว่าครั้งที่ 2 มักได้ผลมากกว่าครั้งแรก ส่วนตัวคิดว่าคดีนี้กำลังมาผิดทาง เพราะ เมื่อได้ผลจากครั้งแรกไม่พอใจ ต้องส่งไปผ่าครั้งที่2 เสมอ ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในการทำหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน และเมื่อผลออกมาต่างกัน คำตอบก็จะไปออกในผลที่น่าพอใจมากที่สุด ทั้งที่ไม่รู้ว่าผลครั้งไหนถูกต้อง” นพ.ภาณุวัฒน์ กล่าว

พ.ต.ต. นพ.ณัฐพงศ์ กิตติโสภณพันธุ์ แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ แพทย์ชันสูตรศพน้องชมพู่ครั้งที่ 2 ยืนยันว่า การชันสูตรครั้งที่ 2 พบบาดแผลฉีกขาดบริเวณอวัยวะเพศจริง แต่อาจเกิดจากการผ่าครั้งแรกหรืออาจเกิดจากการเคลื่อนย้ายศพ จึงยืนยันว่าไม่ได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และไม่สามารถสรุปสาเหตุการตายได้ว่ามาจากอะไร เพราะพฤติกรรมการตายไม่สามารถตอบได้แน่ชัดว่ามีใครทำให้ตายหรือไม่ 

ด้านนพ.ศักดิ์สิทธิ์ บุญลักษณ์ หัวหน้ากลุ่มงานนิติเวช โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ผู้ผ่าชันสูตรศพน้องชมพู่คนแรก ยืนยันว่าไม่มีบาดแผลที่ส่งผลถึงแก่ความตาย มีเพียงบาดแผลที่เป็นรอยขีดข่วนเท่านั้น

นายสิระ กล่าวว่าที่ประชุมมีมติจะลงพื้นที่ จังหวัดมุกดาหาร ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดในวันอาทิตย์ที่19 ก.ค.นี้.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ประชุม 20 ผู้ว่าฯ อีสาน เข้มโดรน-จับตาสถานที่สำคัญ

3 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ประชุม 20 ผู้ว่าฯ จังหวัดอีสาน เข้มมาตรการกำจัดโดรน สั่งจับตาสถานที่สำคัญ ศาลากลางจังหวัด-คลังอาวุธ-สถานีขนส่ง บูรณาการตำรวจจับผู้ก่อเหตุ ดำเนินคดีข้อหาหนัก “ก่อการร้าย-ไส้ศึก” เมื่อวันที่ 3 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า วานนี้ (2 ส.ค.) ได้มีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 20 จังหวัดภาคอีสาน ผ่านระบบ VTC เรื่องมาตรการกำจัดโดรน โดยให้ผู้ว่าแต่ละจังหวัด ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.จังหวัด ให้แต่ละหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและภาคเอกชน ประชาชน จัดหาเครื่องแอนตี้โดรน ป้องกันจังหวัดของตัวเอง โดยเฉพาะเพ่งเล็งในพื้นที่สำคัญ อาทิ ศาลากลางจังหวัด สนามกีฬา คลังอาวุธ สถานีตำรวจ สถานีขนส่ง และสนามบิน นอกจากนี้ให้มีการจัดชุดลาดตระเวนพิสูจน์ทราบบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ หากสามารถควบคุมตัวได้ให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุดในทุกประเด็น เช่น ก่อการร้าย ไส้ศึก โดยโทษหนักสุดถึงขั้นประหารชีวิต คงต้องไปดูข้อกฎหมาย ทั้งนี้ได้กำชับห้ามปล่อยตัวง่ายๆ ต้องตรวจสอบไปถึงต้นตอ […]

พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายโดรน บินเหนือน่านฟ้าสุรินทร์

สุรินทร์ 3 ส.ค. – พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายโดรน บินเหนือน่านฟ้าเมืองสุรินทร์ ชาวบ้านกังวลเรื่องความปลอดภัย ขณะที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัดว่าเป็นโดรนหรือเครื่องบินขนาดเล็ก เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา มีรายงานว่าพบวัตถุต้องสงสัยลักษณะคล้ายโดรน บินเหนือหลายพื้นที่ในจังหวัดสุรินทร์เป็นจำนวนมาก โดยยังไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานราชการ ว่าวัตถุดังกล่าวเป็นโดรนจริง หรือเป็นอากาศยานชนิดใดกันแน่ ชาวบ้านในพื้นที่ได้โพสต์และแชร์ภาพวัตถุปริศนา บินอยู่เหนือเขตเมืองและพื้นที่ชายแดน ซึ่งถือเป็นพื้นที่หวงห้ามตามคำสั่งของกองทัพ ห้ามอากาศยานไร้คนขับบินโดยไม่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืนสามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ ทีมข่าวลงพื้นที่และสามารถบันทึกภาพวิดีโอไว้ได้ โดยพบวัตถุลักษณะคล้ายโดรนบินจากรอบนอกเมืองเข้าสู่เขตชั้นในของตัวเมืองสุรินทร์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าเป็นโดรนหรือเครื่องบินขนาดเล็ก ล่าสุดเช้าวันนี้ ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ยังจุดที่ชาวบ้านแจ้งว่าพบเห็นวัตถุดังกล่าว โดยมีการนำภาพถ่ายที่บันทึกไว้ตั้งแต่ช่วงเย็นขณะที่ท้องฟ้ายังสว่างให้ทีมข่าวดู ภาพปรากฏวัตถุคล้ายเครื่องบินขนาดเล็ก หรือโดรนที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แน่ชัด ชาวบ้านบางส่วนแสดงความวิตก ว่า วัตถุดังกล่าวอาจมีลักษณะคล้ายโดรนพลีชีพหรืออาจบรรทุกวัตถุระเบิด ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกและกังวลในชุมชน จึงอยากให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ หรือหน่วยงานความมั่นคง ออกมาชี้แจงโดยเร็ว เพื่อความสบายใจของประชาชนในพื้นที่ . – 716 – สำนักข่าวไทย

ไทยตอนบนฝนน้อย ทะเลอันดามัน-อ่าวไทย คลื่นสูง 1-2 ม.

กทม. 3 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยไทยตอนบนมีฝนน้อย ส่วนทะเลอันดามันและอ่าวไทย คลื่นสูง 1-2 เมตร กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยตอนบนมีฝนน้อยเนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง – สำนักข่าวไทย

กระเช้าหลุด ช่างทาสีร่วงตึก 5 ชั้น ตาย 1 สาหัส 1

พัทลุง 2 ส.ค. – เกิดเหตุสลด กระเช้าปลายบูมหลุดจากเครน ช่างทาสีร่วงจากตึก 5 ชั้น เสียชีวิต 1 เจ็บสาหัส 1 ที่ไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียน จ.พัทลุง เกิดเหตุสลดกลางไซต์งานก่อสร้างอาคารเรียนแห่งหนึ่ง ในตำบลควนมะพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เมื่อกระเช้าที่ผูกติดกับหัวเครนเกิดหัก หลุดจากตึกสูง 5 ชั้น ส่งผลให้ช่างทาสี 2 คน ที่อยู่บนกระเช้าร่วงตกลงกระแทกพื้น เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทันที 1 คน คือ นายธวัชชัย อายุ 36 ปี และนายชุติเดช อายุ 43 ปี บาดเจ็บสาหัส ขาทั้งสองข้างหักละเอียด แขนซ้ายหักผิดรูป เจ้าหน้าที่เร่งให้การช่วยเหลือก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลพัทลุงอย่างเร่งด่วน ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า คนงานทั้ง 2 เป็นช่างทาสี ได้ขึ้นกระเช้าเหล็กเพื่อขึ้นไปทาสีบริเวณชั้น 5 ของอาคาร ซึ่งมีความสูงประมาณ 26 เมตร แต่ด้วยน้ำหนักของคนงานทั้งสองคน […]