กรุงเทพฯ 14 ก.ค.-โฆษก ทอ.แจงเหตุที่อนุมัติเครื่องทหารอียิปต์ลงจอดไทย เป็นการทำหน้าที่ปกติ ไม่ส่งผลต่อความมั่นคง เคยมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจึงตอบกลับ กต.ว่าจอดได้
พล.อ.ท.พงษ์ศักดิ์ เสมาชัย รองเสนาธิการกองทัพอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวถึงกรณีกองทัพอากาศเปิดน่านฟ้าให้อากาศยานทหารประเทศอียิปต์ เข้ามาจอดพักในประเทศไทย ว่า ต้องเข้าใจระบบขั้นตอนคือสถานทูตของประเทศนั้น ๆ จะติดต่อไปยังกระทรวงต่างประเทศ และเมื่อกระทรวงต่างประเทศเห็นว่าเป็นเครื่องบินทหาร จะประสานมายังกองทัพอากาศเพื่อพิจารณาว่ามีความขัดแย้งเรื่องความมั่นคงหรือไม่ ซึ่งหลังจากที่กองทัพอากาศตรวจสอบแล้วพบว่า ไม่มีปัญหาเรื่องความมั่นคง และเคยมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จึงตอบกลับกระทรวงต่างประเทศว่าไม่ขัดข้อง ถือเป็นการทำหน้าที่ตามปกติของกองทัพอากาศที่ต้องพิจารณาในส่วนที่ต้องรับผิดชอบ
“กองทัพอากาศได้รับมอบหมายให้เป็นผู้พิจารณาในกรณีที่เป็นเครื่องบินทหารว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง และเมื่อเครื่องมาลงในพื้นที่แล้ว ทุกอย่างต้องเข้าสู่มาตรการที่ได้กำหนดไว้ ในส่วนของกองทัพอากาศมีอำนาจพิจารณาในขอบเขตจำกัด” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ภารกิจอากาศยานอียิปต์ เป็นภารกิจบินเดินทางประจำในลักษณะของการบินของอากาศยานของรัฐ / State Aircraft จากต้นทางถึงปลายทาง เป็นความชอบธรรมทางกฎหมายในการขอลงจอดเพื่อเติมน้ำมัน พักเครื่องและลูกเรือ เช่นเดียวกับการบินของอากาศยานของประเทศไทยที่สามารถประสานขอลงจอดพักเครื่องและลูกเรือในระหว่างต้นทางถึงปลายทางได้
สำหรับขั้นตอนการขอบินผ่านน่านฟ้าและขึ้นลงในประเทศไทย ในส่วนที่กองทัพอากาศจะต้องพิจารณา คือ 1.สถานเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ ส่งคําขอไปยังกระทรวงต่างประเทศ 2. กระทรวงการต่างประเทศจะพิ จารณาเหตุผลความจําเป็นและทําหนังสือถึง กองทัพอากาศเพื่อขออนุมัติให้เครื่องบินทางทหารบินผ่านและขึ้นลงในประเทศไทย ภายใต้ข้อพิจารณาด้านความมั่นคงปลอดภัยทางการทหาร ความเป็น พันธมิตรและพันธะทางทหารที่มีต่อกัน
3.กองทัพอากาศพิจารณากฎ ระเบียบและข้อปฏิบัติทางทหารสอดรับกับอํานาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ โดยมี หัวข้อการพิจารณา ดังนี้ 3.1 การบินผ่านและขึ้นลงในประเทศไทยอยู่ในความดูแลของบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยและศูนย์ยุทธการทางอากาศ กองทัพอากาศ ซึ่งเป็นไปตามกฎการบินสากลและไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ 3.2 คําสั่ง คค.ที่ 90/2553 ลง 24 มีนาคม 2553 เรื่องมอบอํานาจตามมาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.การเดินอากาศ พ.ศ.2497 ในการลงนามแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
3.3 อาศัยอํานาจตามความในมาตรา5 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 พระราชกําหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 1) ข้อ 3 การปิดช่องทางเข้ามาในราชอาณาจักรไม่ว่าจะเป็น อากาศยาน เรือ รถยนต์ หรือพาหนะอื่นใด หรือในการใช้เส้นทางคมนาคม ไม่ว่าทางอากาศ ทางน้ํา หรือทางบก ยกเว้นเป็นผู้ควบคุมยานพาหนะ หรือเจ้าหน้าที่ที่ประจํายานพาหนะ ซึ่งจําเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ และมีกําหนดเดินทางออกชัดเจน
เมื่อกองทัพอากาศพิจารณาและลงนามอนุมัติเรียบร้อยแล้ว จะส่งเรื่องให้กระทรวงการต่างประเทศ าเนินการต่อไป จากนั้นกระทรวงการต่างประเทศส่งเรื่องให้สถานเอกอัครราชทูตของประเทศต่าง ๆ และสถานเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ดําเนินการประสานสนามบินปลายทาง นอกจากนี้สถานเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ และกระทรวงการต่างประเทศจะต้องประสานกันเรื่องการป้องกัน โรคติดต่อให้เป็นไปตามพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและตามประกาศ ข้อบังคับของศบค. ซึ่งการดําเนินการตามพิธีการตรวจคนเข้าเมือง จะมีศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินท่าอากาศยาน (EOC) ตรวจคัด กรองโรคติดต่อ และการดําเนินการด้าน State Quarantines/Local Quarantine ในการดูแลควบคุม.-สำนักข่าวไทย