กรุงเทพฯ 10 ก.ค.- ศาลแพ่ง ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว กลุ่มผู้ชุมนุมติดตามความคืบหน้าการผ่านร่าง พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ ที่หน้า ยูเอ็น และนัดพิพากษา 5 สิงหาคมนี้ ว่าจะยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือไม่
จากกรณีที่นายนิมิตร์ เทียนอุดม เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ, และกลุ่มคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ไปยื่นฟ้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อศาลแพ่งรัชดาภิเษกเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว กรณีขออนุญาตชุมนุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการผ่านร่าง พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ ที่หน้า องค์การสหประชาชาติ หรือ UN และขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
โดยศาลพิเคราะห์ว่า ตามที่โจทก์ฟ้องว่าการที่จำเลยประกาศขยายระยะเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปถึงสิ้นเดือนนี้ ทำให้ไม่สามารถประกาศร่าง พ.ร.บ.บำนาญแห่งชาติ จึงจำเป็นต้องขออำนาจศาลคุ้มครองชั่วคราว เพื่อจัดการชุมนุมติดตามความคืบหน้าเรื่องนี้ที่หน้าองค์การสหประชาชาติ โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมประมาณ 300 คน เห็นว่าทางกลุ่มผู้ชุมนุมไม่สามารถชี้แจงได้ว่าจะควบคุมไม่ให้มีการชุมนุมมากกว่า 300 คนขึ้นไปได้อย่างไร และมีแผนในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคอย่างไร ประกอบกับเมื่อพิจารณาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก เห็นว่ายังมีผู้ป่วยติดเชื้อมากถึงกว่า 12 ล้านคน และยังไม่มีวัคซีนในการรักษา อีกทั้งองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ยังได้ประกาศเป็นการระบาดใหญ่ กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากนี้ศาลยังเห็นว่า การชุมนุมในวันที่ 13 กรกฎาคม ไม่มีเหตุฉุกเฉินเพียงพอ จึงยกคำร้องไต่สวนฉุกเฉิน และยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว
ส่วนกรณีการพิจารณาเพิกถอนการขยายระยะเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นครั้งที่ 3 เห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานเพิ่มเติมอีก จึงนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 5 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้หลังฟังคำพิพากษาดังกล่าว นายนิมิตร์ เปิดเผยว่า ก็จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการจัดการชุมนุมต่อไป โดยยืนยันว่าได้ประสานไปยังตัวแทนรัฐบาลที่จะออกมารับหนังสือในวันดังกล่าวแล้ว ส่วนที่มีการนัดชุมนุมที่หน้าองค์การสหประชาชาติ เนื่องจากต้องการใช้เป็นจุดชี้แจงความสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวเท่านั้น ก่อนจะเดินขบวนไปมอบหนังสือทวงถามความคืบหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล และยืนยันว่าทางกลุ่มผู้ชุมนุมมีการเตรียมแผนป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ทั้งการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้ผู้ชุมนุมทุกคนสวมใส่ และเว้นระยะห่าง ซึ่งเชื่อว่าเพียงพอต่อการดูแลความปลอดภัยของผู้ชุมนุม.-สำนักข่าวไทย
