รัฐสภา 2 ก.ค.- นายกรัฐมนตรี แจงตั้งงบกลางปี 64 ไว้สูง เพื่อใช้จ่ายเป็นงบประจำ ช่วยเหลือประชาชนยามเกิดภัยพิบัติ ยืนยันพร้อมรับฟังข้อคิดเห็นทุกฝ่าย ย้ำปัญหาของประเทศมีมากต้องใช้งบประมาณมากขึ้น แต่จะใช้งบอย่างคุ้มค่า สร้างคุณภาพชีวิตประชาชน เผยหากยังอยู่ในตำแหน่งจะปฏิรูประบบคมนาคม โลจิสติกส์ครั้งใหม่ เตือนนักการเมืองอย่าแทรกแซงงบฯท้องถิ่น ไม่อยากให้เกิดทุจริตเหมือนอดีต
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการใช้จ่ายงบประมาณปี 2564 ว่า การใช้จ่ายงบประมาณจะต้องเป็นไปอย่างทั่วถึง แต่ติดข้อจำกัด ที่จะมีเงินใช้พร้อมกัน ดังนั้นจึงต้องมีทั้งคนที่ได้ และไม่ได้ รวมไปถึงคนที่ได้ในอนาคต จึงต้องมีการจัดระเบียบ การใช้งบประมาณ เช่น งบประมาณเร่งด่วน หลายหน่วยงาน และหลายจังหวัด ถูกตัดงบประมาณออกไป จากการตรวจสอบขั้นต้นพบว่าจะต้องกระจายโครงการ แต่ละโครงการจะมีคณะกรรมการกลั่นกรองดูแลเพื่อให้มีเพียงพอกับการใช้จ่าย ทั้งการดูแลประชาชน เงินเดือนข้าราชการ สวัสดิการ ประกันสินค้าราคาเกษตร เงินช่วยเหลือด้านต่าง ๆ รวมถึงงบประมาณด้านการส่งเสริม การให้ทุน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน ดังนั้นรัฐบาลจึงคิดว่าเป็นเสมือนการให้ปลา และจะต้องให้เบ็ดไปด้วย โดยเฉพาะเบ็ดที่เปรียบเหมือนการฝึกอบรม จะต้องเกิดผลสัมฤทธิ์ออกมา
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เช่นเดียวกับการวิจัยพัฒนา ที่รัฐบาลได้ปฏิรูปการวิจัย โดยจะเพิ่มงบประมาณ เปิดช่องทางให้ทุกคนได้เสนอผลการวิจัย ให้สอดคล้องต่อความต้องการของคนในประเทศ ต้องมีผลงาน เกิดผลผลิต และต้องนำไปใช้ประโยชน์ให้ได้ และเป็นความต้องการของประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน โดยมีแผนแม่บท จนนำไปสู่แผนปฏิบัติ และงบประมาณก็จะถูกนำไปจัดสรรตามขั้นตอน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงระบบปฏิรูปราชการว่า ตนให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระจายอำนาจ แต่สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง ทุกคนต้องมีความพร้อมในการทำงาน และทุกท้องถิ่นต้องมีขีดความสามารถ ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ และต้องไม่รั่วไหล หรือ เกิดการทุจริต ส่วนข้าราชการที่มีจำนวนมาก ต้องมีการปรับโครงการสร้างเก่าที่มีมา หลายอย่างจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งขึ้นมาใหม่ เช่น การจัดตั้งหน่วยงานดิจิทัล ที่ต้องมารองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่นเดียวกับการปรับการรับราชการในกระทรวงกลาโหม ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นข้าราชการพลเรือน เพื่อลดจำนวนนายพล ซึ่งหลายอย่างต้องใช้เวลาในการปรับแก้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์จากการอภิปรายครั้งนี้ แต่หลายคนยังมีความไม่เข้าใจกัน อยากให้มองปัญหาที่เกิดขึ้นในภาพรวมที่คณะรัฐมนตรีมองลงไป ซึ่งจะเป็นคนละแบบ เพราะปัญหาทุกอย่างจะต้องถูกรวบรวมมาเสนอยัง ครม. แล้วค่อย ๆ สังเคราะห์ ตัดสินใจในการดำเนินการต่าง ๆ ว่าสิ่งไหนมาก่อน และสิ่งไหนต้องทำทีหลัง หากการจัดสรรงบประมาณปีนี้ไม่ได้ ก็จะจัดสรรในปีต่อไป
ส่วนงบกลางที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าตั้งไว้สูงนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนหนึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายที่จะต้องใช้จ่ายประจำ รวมถึงรองรับกรณีภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าหากไม่มีปัญหาภัยพิบัติ ก็นำงบส่วนนี้ไปเพิ่มเติมให้ในส่วนท้องถิ่น ที่มีความต้องการ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำเป็นต้น เห็นได้จากการประชุม ครม.ต่างจังหวัด ที่จะมีการเสนอโครงการต่าง ๆ ขึ้นมา งบกลางจึงมีความจำเป็นที่จะนำมาใช้ ตนจะตัดสินใจใช้งบประมาณคนเดียวไม่ได้ เพราะมีคณะกรรมการกลั่นกรองขึ้นมา หลายคนยังไม่เข้าใจ และบางครั้งข้อเสนอดี แต่การปฏิบัติยังทำไม่ได้ เนื่องจากติดกฏหมาย กฏระเบียบบางตัว ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้าน ให้ฉายารัฐบาลเป็นผู้นำแห่งการก่อหนี้ ว่า เป็นแบบนี้ทุกรัฐบาล เพียงแต่ว่าขณะนี้ปัญหาในประเทศมากขึ้น ก็จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งงบประมาณก็มาจากภาษีประชาชน ซึ่งเป็นหลักการอยู่แล้ว แต่วันนี้อยากจะบอกว่า รัฐบาลจะต้องใช้เงินอย่างเป็นขั้นตอน ใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า ให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในประเทศ ที่มีความหวังจากรัฐบาล สร้างคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้ประชาชนมาร่วมมือกับรัฐบาล และตระหนักว่า ได้สิ่งไหนไปแล้วบ้าง โดยเฉพาะการใช้จ่ายงบประมาณ ในการช่วยเหลือด้านการเกษตร ประกันราคาข้าว ช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเป็นงบที่ต้องใช้จ่ายมหาศาล ดังนั้นรัฐบาลต้องแก้ไข บูรณาการสินค้าเกษตรให้มีราคาเพิ่มขึ้น ด้วยการแก้ปัญหาลดต้นทุน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การชี้แจงในวันนี้ไม่ต้องการสร้างความข้ดแย้งกับใคร แต่อยากให้ปรับวิธีคิด ด้วยความเข้าใจและร่วมมือกัน เช่น แผนการปฏิรูปแบบคมนาคมของประเทศ ที่จะต้องมีการคิดใหม่ เปรียบเทียบกับต่างประเทศ ไทยจะต้องสร้างเส้นทางสายไหมขึ้นมา ทำระเบียงเศรษฐกิจครอบคลุม โดยไม่ทับเส้นทางเดิม แต่ต้องใช้งบประมาณและเวลา ซึ่งหากเกิดขึ้นได้ จะสามารถแก้ไขปัญหาจราจรที่ติดขัด เป็นต้น หากทำสิ่งเหล่านี้ได้จะเกิดการปฏิรูปคมนาคม โลจิส ติกส์ครั้งใหม่ในประเทศไทย ตนตั้งเป้าหมายไว้ว่า หากยังอยู่ในตำแหน่งจะทำให้ได้ เพราะจะทำให้เกิดเมืองใหม่ ชุมชนใหม่ขึ้นมาตลอดเส้นทางนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ได้กำชับในที่ประชุมห้ามเข้าไปแทรกแซงการใช้จ่ายงบประมาณในท้องถิ่น ไม่ได้หมายความว่าเป็นการปรามนักการเมืองแต่โดยทั่วไป ทุกคนจะต้องช่วยกันดูแล เพราะแต่ละโครงการ แต่ละพื้นที่ ประชาชนจะต้องเสนอขึ้นมาตามกลไกลท้องถิ่น และนำขึ้นมาพิจารณากลั่นกรอง ที่ ครม.ซึ่งขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานว่าเกิดการทุจริตแต่อย่างใด แต่ในอดีตเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาแล้ว ซึ่งวันนี้อยากจะเตือนไว้ ไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะขณะนี้โครงการต่าง ๆ ที่เสนอขึ้นมา ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในการใช้งบประมาณ ตนไม่ได้ว่าใคร แล้วบอกว่าตัวเองดีคนเดียว ซึ่งตนไม่ใช่คนแบบนั้น.-สำนักข่าวไทย