ทำเนียบรัฐบาล 29 มิ.ย.-โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ขอทุกฝ่ายคงเข้มมาตรการสาธารณสุข หลังเปิดเรียน 1 ก.ค. เตรียมพร้อมป้องกันระบาดระลอก 2 ยืนยันใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมโรค ไม่มีวัตถุประสงค์อื่น
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการบริหารจัดการสถานการณ์ของรัฐบาลว่าตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศเป็น 0 มาเกิน 30 วันแล้ว ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและประเทศในอาเซียน อย่างไรก็ตาม ยังต้องเตรียมพร้อมตั้งรับกรณีที่อาจเกิดการแพร่ระบาดระลอกสองได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นวันเริ่มเปิดเรียน และจะผ่อนคลายกิจการ กิจกรรมอีกหลายประเภท จึงขอให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องยังคงมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันดูแล
“นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุมว่า แม้สถานการณ์ในประเทศจะดีขึ้น แต่ขอให้ทุกส่วนสร้างความเข้าใจกับประชาชนว่าทั่วโลกตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ขอให้ประชาชนเข้าใจเจตนาของรัฐบาลที่ไม่ได้มีข้ออ้างในการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อวัตถุประสงค์อื่น มีเพียงความจำเป็นเพื่อการป้องกัน ควบคุมโรค ไม่ให้แพร่ระบาดกลับเข้ามาใหม่ และขอให้กระทรวงสาธารณสุขและศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง(ศปม.) ร่วมมือกันอย่างจริงจังต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
นางนฤมล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณทุกภาคส่วนทั้งราชการ ประชาชนที่ร่วมมือกันอย่างแท้จริงจนประสบความสำเร็จในวันนี้ เห็นผลการดำเนินการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ทุกประเทศรอคอยความสำเร็จในการคิดค้นวัคซีนและยารักษาโรคโควิด-19 ซึ่งผู้นำอาเซียนได้ร่วมกันจัดตั้งกองทุนอาเซียน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ซึ่งถือเป็นสินค้าเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยไทยได้บริจาคเงินหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐสนับสนุนกองทุนดังกล่าว ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย โดยขอให้บูรณาการการทำงาน ความร่วมมือ และระดมทรัพยากรทุกภาคส่วนของประเทศไทยในการคิดค้นวัคซีนและยารักษาโรคอย่างจริงจัง หากร่วมมือร่วมใจกันอาจจะส่งผลให้การวิจัย และพัฒนาของไทยประสบผลสำเร็จเร็วขึ้น
“ส่วนมาตรการ Work From Home ที่เริ่มผ่อนคลายลง ขอให้พิจารณาใช้มาตรการเหลื่อมเวลาให้เกิดประโยชน์ ควบคู่ไปกับดูแลเรื่องการเดินทางของประชาชนไม่ให้เกิดความแออัดในการใช้บริการขนส่งสาธารณะ ส่วนการใช้แอปพลิเคชันไทยชนะ ที่อาจยังมีประชาชนที่ยังไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางเพื่อรับความร่วมมือต่อไป โดยย้ำว่าข้อมูลของประชาชนต้องเป็นความลับ และขอให้เจ้าหน้าที่เคร่งครัดการดำเนินมาตรการ รวมทั้งให้กำหนดมาตรการลงโทษหากเจ้าของกิจการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
นางนฤมล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณากลั่นกรองแผนงาน หรือโครงการการช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม โดยให้คำนึงถึงการนำไปสู่เป้าหมายและทิศทางของประเทศไทยภายหลังวิกฤติโควิด เพื่อใช้งบประมาณนี้เสริมโอกาสและศักยภาพของประเทศไทยภายหลังวิกฤติ
“นายกรัฐมนตรีให้แนวทางการดำเนินการตามมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 5 เพื่อให้ประชาชนดำรงชีวิตได้ปกติ เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ แต่กิจการ กิจกรรมในระยะนี้มีความเสี่ยงสูง จึงขอให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องอธิบายสร้างการรับรู้แก่ประชาชนว่ามีความจำเป็นต้องกำกับดูแลโดยเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มงวดต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ ส่วนการผ่อนคลายให้คนต่างชาติเข้ามาในราชอาณาจักร ขอให้ศูนย์ปฏิบัติการมาตรการเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาจากเหตุผล ความจำเป็น ความเร่งด่วน และในส่วนของมาตรการผ่อนคลายเพื่อการท่องเที่ยวจะต้องพิจารณาต่อไป โดยสั่งการให้ทุกฝ่ายร่วมกันเตรียมความพร้อมทุกระยะ ทั้งระบบการจัดการที่ต้องรัดกุม ต้องเตรียมเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันติดตามตัวบุคคลในกรณีที่เปิดให้เข้าออกประเทศเพื่อธุรกิจหรือการท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้าเพื่อการควบคุมป้องกันในอนาคต” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย