สำนักข่าวไทย 28 มิ.ย.- คิกออฟ! ปลูกผักสวนครัว เฟส 2 “อธิบดี พช.” ชูบ้านโพธิ์ศรี สุพรรณบุรี พื้นที่แห่งชัยชนะ ประกาศเดินหน้าสร้างวัฒนธรรมทางสังคม “ปลูกผักสวนครัว เฟส 2” เริ่มทันทีวันที่ 1 กรกฎาคมเดือนมหามงคล สู่ความสำเร็จ 5 ธันวาคม นำพาชุมชนมีความมั่นคงทางอาหาร นำพาประเทศชาติสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน
วันนี้ (28 มิ.ย.) นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (พช.) กระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เดินทางไปตรวจเยี่ยมผลการดำเนินงาน การน้อมนำแนวพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่แผนปฏิบัติการ 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ของกรมการพัฒนาชุมชน ณ บ้านโพธิ์ศรี ตำบลบางปลาม้า อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีนายนิมิต วันไชยธนวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วยนายเสน่ห์ บุญสุข ที่ปรึกษาอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (อดีตพัฒนาการจังหวัดสุพรรณบุรี) นายวีระชาติ สมบูรณ์วิทย์ พัฒนาการจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่ศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชนจังหวัด คณะกรรมการสภาสตรีจังหวัด เครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองระดับจังหวัด ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านบ้านโพธิ์ศรี ให้การต้อนรับ
พระธรรมพุทธิมงคล ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ได้มอบต้นมหาโพธิ์แก่อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และได้แสดงปาฐกถาธรรมเรื่องการปลูกผักสวนครัว โดยยกคำสอนคติเตือนใจเปรียบเทียบคนทำงานกับคนเกียจคร้านว่า “ไม้จิ้มก้นดีกว่าคนขี้เกียจ คนขี้เกียจเป็นเสนียดสังคม” ซึ่งคนที่ชอบพูดว่าไม่มีงานทำถือว่าเป็นคำพูดที่ไม่ดี เพราะความจริงงานมีให้ทำทุกวัน ขอให้พิจารณาดูกันเองว่าแต่ละวันเราควรทำงานอะไรกันได้บ้าง
“ขอชื่นชม ยินดีกับชาวบ้านโพธิ์ศรี ที่ได้ร่วมกันทำโครงการปลูกผักสวนครัวไว้กิน ไว้ใช้ เพราะถือว่าเป็นทรัพย์ในดินสินในน้ำที่อยู่ในแผ่นดิน ความจริงแผ่นดินเรามีสมบัติเยอะแยะ อยู่ที่เราจะเอามาทำประโยชน์ได้มากแค่ไหน ประเทศเราอยากกินอะไรก็ปลูกได้ ทั้งพืชผักและพืชผลไม้ ขออนุโมทนาให้ชาวบ้านโพธิ์ศรีและจังหวัดสุพรรณบุรี ประสบความสำเร็จในโครงการปลูกผักสวนครัวทุกประการ” พระธรรมพุทธิมงคลกล่าวแสดงปาฐกถาธรรมทิ้งท้าย
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ของการแพร่บาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม กรมการพัฒนาชุมชนจึงได้ “น้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จ พระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่แผน “ปฏิบัติการ 90 วัน ปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร” ของกรมการพัฒนาชุมชน เพราะเชื่อมั่นในแนวทางปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นความเข้มแข็งมาจากข้างในตัวเราก่อน มีการพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด และการได้มาเยือนบ้านโพธิ์ศรีในวันนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ได้เห็นภาพความร่วมมือร่วมใจที่เข้มแข็ง และความรุดหน้าของการร่วมปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่สำเร็จไปแล้วกว่า 95 %
ผมขอยกย่องคุณพี่เสน่ห์ บุญสุข เป็นทั้งที่ปรึกษาอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และเป็นอดีตพัฒนาการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุคคลต้นแบบของข้าราชการที่ดีของกรมการพัฒนาชุมชน ใช้ความรู้ความสามารถ ความขยันหมั่นเพียร อุทิศตนทำงานให้กับทางราชการมาตลอดชีวิต เป็นทั้งผู้นำ เป็นทั้งผู้ทำเพื่อความสุขของชุมชนบ้านเกิด แม้เกษียณอายุราชการแล้วก็ยังมุ่งมั่นทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ ดำเนินงาน และการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาเป็นแนวทางในการเป็นผู้นำชุมชนในการปลูกผักสวนครัว ในช่วงประเทศชาติประสบสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ช่วยทำให้ชุมชนมีความมั่นคงทางอาหาร อยู่รอดปลอดภัย
พร้อมกันนี้ได้ยกตัวอย่างความสำเร็จในพื้นที่ อบต.โก่งธนู อ.เมือง จ.ลพบุรี เป็นโครงการต้นแบบแห่งแรกตามแนวพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเริ่มทดลองเป็นแห่งแรกและประสบความสำเร็จ นำไปสู่เป็นต้นแบบอย่างดีในการปลูกพืชผักทั่วประเทศ ปลูกไว้ทั้งรับประทานเองในครัวเรือน และมีเหลือก็แบ่งปันให้กับเพื่อนบ้าน ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งมีการใช้พื้นที่สาธารณะส่วนรวมมาใช้ประโยชน์ ซึ่งที่ อบต.โก่งธนู ได้สร้างต้นแบบความสามัคคีแห่งการเกื้อกูลกันโดยปลูก “ถนนมีผล ผู้คนรักกัน” ซึ่งผลไม้ที่ปลูกสามารถเก็บกินได้เลย ขณะนี้ที่บ้านโพธิ์ศรีปัจจุบันก็มีพื้นที่ส่วนรวมปลูก “ผลไม้กู้ชีวิตครัวเรือน” ซึ่งชุมชนได้ร่วมมือกันอย่างเป็นพลัง ผมอยากให้ความร่วมมือร่วมแรงใจกันอย่างนี้ อยู่คู่เป็นวัฒนธรรมของสังคมไปอย่างต่อเนื่อง
“ขอขอบคุณทางจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ส่งเสริมการปลูกผักสวนครัวแบบเข้าถึงทุกครัวเรือน โดยมีการประสานงาน และสร้างความรู้ความเข้าใจกับกลุ่มองค์กรต่างๆ ของหมู่บ้าน ชุมชน เพื่อสานพลังขับเคลื่อนการปลูกผักสวนครัว รวมทั้งการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ผักพืชผักสวนครัว สนับสนุนต้นกล้าพืชผักสวนครัว สนับสนุนปุ๋ยอินทรีชีวภาพคุณภาพสูง จนสำเร็จไปแล้วกว่า 95 % การปลูกผักสวนครัวเป็นคำตอบที่บรรพบุรุษเราสอนไว้ สมัยก่อน ปู่ย่าตายาย จะปลูกผักสวนครัวกันทุกบ้าน หากวันนี้ทุกคนช่วยกันปลูกผักสวนครัวให้มากชนิดทุกบ้าน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร หมู่บ้าน ชุมชน ทุกแห่งก็จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ได้”
อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้พบว่าจากจำนวนครัวเรือนเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั่วประเทศ 12,976,932 ครัวเรือน ไม่รวมกรุงเทพฯ รวมพลังปลูกผักสวนครัวไปแล้วถึง 95 % ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว กรมการพัฒนาชุมชน มีความคาดหวังว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวจะช่วยเหลือประชาชนและสังคมไทยได้หลายประการ กล่าวคือ ทำให้ประชาชนลดรายจ่ายจากการซื้อผักมาบริโภคในระดับครัวเรือน โดยครัวเรือนสามารถลดรายจ่ายเฉลี่ย 50 บาท/วัน หากไม่ต้องซื้อผัก 20 วัน/เดือน ก็สามารถประหยัดเงินได้กว่า 1,000 บาท/เดือน ขณะเดียวกันก็จะมีผักรับประทานตลอดทั้งปี”
อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวสรุปว่าการดำเนินการโครงการปลูกผักสวนครัวที่ผ่านมามีหัวใจ 5 ประการคือ 1.ต้องมีความต่อเนื่องและเป็นพลังแห่งความร่วมมือ 2.ร่วมมือกันทำทั้งครอบครัว 3.ร่วมกันสร้างชุมชนให้เป็นสีเขียวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 4.สร้างให้เป็นวัฒนธรรมการปลูกพืชผักเป็นสิ่งที่ดีงามสืบทอดต่อกันไปอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาสู่การสร้างนวัตกรรม ซึ่งทั้งหมดจะนำไปสู่ข้อที่ 5 คือ พลังแห่งความร่วมมือของครอบครัวและชุมชน ในการช่วยเหลือสู่ความยั่งยืนด้วยวิถีพอเพียง
“ผมขอใช้พื้นที่บ้านโพธิ์ศรี จังหวัดสุพรรณบุรี ดินแดนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงมีชัยชนะเหนืออริราชศัตรู เป็นดินแดนแห่งชัยชนะ เป็นชัยภูมิที่ดี เพื่อประกาศสร้างความมั่นคงทางอาหารต่อระยะที่ 2 เพราะที่น่าเรามีต้นแบบอย่างคุณพี่เสน่ห์ และพี่น้องชาวบ้านโพธิ์ เพื่อขับเคลื่อนโครงการแผนปฏิบัติการ 90 วันปลูกผักสวนครัว สู่ระยะที่ 2 ที่เริ่มในเดือนมหามงคลวันที่ 1 กรกฎาคม และไปสิ้นสุดความสำเร็จวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นห้วงเวลามหามงคล เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ทำให้แผ่นดินนี้เกิดวัฒนธรรมการปลูกพืชผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับบ้านเมือง และนำพาประเทศชาติสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนกล่าวทิ้งท้าย
พร้อมกันนี้ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และ ประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ยังได้เยี่ยมชมกิจกรรมต่างๆ ภายในงาน โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ได้มอบพืชสวนครัวคู่ชีวิตได้แก่ต้นกล้วย 5 หน่อ มะละกอ 5 ต้น แก่พัฒนาการจังหวัดภาคกลางเพื่อนำไปขยายผลการสร้างวัฒนธรรมการปลูกพืชผักสวนครัว และดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์มอบต้นอินทนิลให้แก่ผู้นำสตรีและผู้นำเครือข่ายต่างๆ ตามกิจกรรมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี อีกทั้งร่วมปลูกต้นรวงผึ้งและต้นอินทนิล และร่วมปรุงอาหารกับผู้เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้อีกด้วย.-สำนักข่าวไทย