รัฐสภา 4 มิ.ย.- นายกรัฐมนตรี แจงสภาฯอีกรอบ ย้ำไม่ต้องห่วงจัดสรรงบตาม พ.ร.บ.โอนงบฯ จัดสรรเพื่อคนไทยทุกคน ยืนยันจะดูแลคนทุกกลุ่มเท่าเทียม คาดโทษหากเจอการทุจริตจะลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ละเว้น ยินดีรับฟังความเห็นที่เป็นประโยชน์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย วงเงินกว่า 88,000 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาโควิด -19 อีกครั้งว่า หลังจากที่ฟังการอภิปรายของ ส.ส. หลายคน เป็นประโยชน์ พร้อมนำไปปรับปรุงพิจารณา อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ จะรับฟังแต่จะให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปยืนยันว่า จะนำไปใช้จ่ายให้สอดคล้องกับ สภาพความเป็นจริง อยากย้ำว่ากฎหมายวันนี้เป็นคนละฉบับ กับ พ.ร.ก.กู้เงิน ซึ่งงบประมาณที่พิจารณาวันนี้มีทั้งงบบุคลากร งบการดำเนินงาน งบการลงทุน และงบอุดหนุน และงบใช้จ่ายอื่น ๆ
ส่วนกรณีที่มีการอภิปรายโจมตีการใช้จ่ายงบกลาง นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า งบส่วนนี้ ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีคนเดียวที่เป็นผู้พิจารณา งบกลางส่วนนี้ ต้องนำไปใช้เป็นเบี้ยหวัดบำนาญ สำหรับปรับเงินเดือนข้าราชการและเงินสมทบลูกจ้างประจำ กว่า 5.1 แสนล้านบาท เป็นเงินสำรองกรณีฉุกเฉิน 96,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ใช้จ่ายไปแล้วเหลือเพียง 400 ล้านบาทเท่านั้น โดยแบ่งออกเป็นค่าใช้จ่าย 4 กลุ่ม คือเงินสำหรับการแก้ปัญหาสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 จำนวน กว่า 56,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งและอุทกภัยกว่า 18,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจและสังคม กว่า 11,000 ล้านบาท และค่าใช่จ่ายในการบริหารจัดการภาครัฐ กว่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลที่จำเป็นต้องใช้ไปก่อนเพราะ พ.ร.บ.โอนงบ และพ.ร.ก.กู้เงินยังไม่ออก โดยรวมที่ใช้ไปแล้ว กว่า 95,000 ล้านบาท จึงขอให้เข้าใจสัดส่วนงบกลางให้ดีก่อน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การบริหารเงินไม่ใช่อำนาจการบริหารของนายกฯ เพียงอย่างเดียว และไม่ใช่เงินของนายกฯ และตามกฎหมายการจะโอนงบกลางออกจากส่วนราชการต้องทำเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น จึงได้เสนอร่างพ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ ในวันนี้ (4มิ.ย.) และการจะจัดสรรงบกลางให้กับหน่วยงานต่าง ๆ นั้นเป็นอำนาจการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามความจำเป็น
ส่วนเหตุผลที่ไม่เสนอ พ.ร.บ.โอนงบฯ ก่อนพ.ร.ก.กู้เงินนั้น นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า จัดทำได้เร็วกว่า เพราะแม้จะกู้เงินก็เชื่อว่าไม่เพียงพอ เนื่องจากมีปัญหาหลายมิติไม่ใช่เพียงสถานการณ์โควิด-19 เท่านั้น จากการประมาณการ ค่าใช้จ่ายเยียวยาประชาชน ถึง 55,000 ล้านบาท ซึ่งเงินสำรองจ่ายที่มีอยู่ไม่เพียงพอ เงิน 2 ก้อนทั้งจาก พ.ร.ก.และพ.ร.บ.จะเข้ามาอยู่ในกรอบการใช้จ่าย ที่รัฐบาลกำหนด ว่าจะเอาไปใช้จ่ายส่วนใดบ้าง ตามความจำเป็นของสถานการณ์ ซึ่งมีแผนการใช้จ่ายชัดเจน โดยเงินที่มีการโอนกลับมาในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นงบจากโครงการที่ยังทำสัญญาไม่ได้ โครงการที่แผนรายละเอียดที่ยังไม่สมบูรณ์ ทำให้จำเป็นต้องหยุดโครงการดังกล่าวไว้ก่อน แต่ไม่ได้ตัดโครงการทั้งหมด เมื่อมีความพร้อมให้นำเสนอกลับมาใหม่
ส่วนกรณีที่มีการตัดงบกระทรวงกลาโหมมากกว่ากระทรวงอื่นถึงกว่าร้อยละ10 จากที่หน่วยงานอื่นปรับลดร้อยละ5นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามหลักเกณฑ์โครงการใดที่สามารถชะลอได้โดยไม่สร้างความเสียหายแก่ราชการ ก็สามารถปรับได้มากกว่าร้อยละ 5 อยู่แล้วดังนั้นงบประมาณในปี 2563 ส่วนใดที่ยังไม่สามารถใช้ได้ในปีนี้ให้โอนกลับมาส่วนกลางก่อนภายใต้การพิจารณาของ คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐไม่ใช่การปรับโอนงบประมาณเพื่อให้รัฐบาลใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น
“หลายโครงการอยู่เกณฑ์ที่สามารถชะลอได้ ยกเว้นบางอย่างที่มีความผูกพัน โดยเฉพาะการจัดซื้อยุทโธปกรณ์บางรายการที่ทำสัญญาไปแล้วก็ไม่สามารถปรับลดได้ เราได้พยายามผ่อนลดลงทุกอย่างแล้ว แต่จะไม่ให้ซื้อ ไม่ให้ทำอะไรเลยคงทำไม่ได้ ต้องรู้ว่าทหารทำหน้าที่กี่อย่าง แต่ไม่ใช่ว่าผมเป็นทหารแล้วเอาใจทหาร ทหารต้องช่วยทุกเรื่อง แม้ว่าจะมีหน้าที่จริงจะทำหน้าที่ป้องกันประเทศเพียงอย่างเดียว ซึ่งที่ผ่านมาทหารก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มเติม ในส่วนของอาวุธยุทธโธปกรณ์ผมไม่ได้แก้ตัว ทำไมต้องมาใช้ของแพง ใช้ของดี เพราะชีวิตคนก็มีความสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องมีทหารอีก ก็แล้วแต่จะคิด” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่าห่วงการจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้ ให้เป็นไปตามกฎหมายและให้เจ้าหน้าที่ทำงานไปตามกระบวนการ ส่วนในรายละเอียดค่อยไปดูว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นหรือไม่ ตอนนี้เป็นเพียงการตั้งกรอบงบประมาณไว้เท่านั้น เมื่อมีการใช้จ่ายงบประมาณขึ้นมาก็ต้องมีกรรมการคัดกรองและตรวจสอบตั้งแต่ระดับล่าง การใช้จ่ายงบกลางหลังจากนี้จะต้องรับฟังความเห็นของประชาชนว่าต้องการอะไร ซึ่งเป็นอำนาจของคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (กบจ.) พิจารณา อย่าไปก้าวก่ายหรือบังคับ โดยมีสำนักงบประมาณคอยตรวจสอบอยู่แล้ว ก่อนจะเสนอให้ คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณในการใช้จ่าย ตนขออย่างเดียวอย่าไปแทรกแซงข้าราชการระดับล่าง ถ้ามีการทุจริตจะมีการลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยไม่ละเว้น การจัดสรรงบประมาณไม่ใช่เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เพื่อคนไทยทุกคน และจะดูแลคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม.-สำนักข่าวไทย