ส.ส.ฝ่ายค้าน ตั้งข้อสังเกต เงินช่วยเหลือ SMEs เข้าถึงยาก

รัฐสภา 30 พ.ค.-  ถก พ.ร.ก.กู้เงิน วันที่ 4  ส.ส.ฝ่ายค้าน ตั้งข้อสังเกต เงินช่วยเหลือ SMEs เข้าถึงยาก ย้ำ ให้ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณ ระบุ ไม่สามารถกู้เงินมากไปกว่านี้ได้แล้ว  ขอให้รับข้อสังเกตของฝ่ายค้านไปพิจารณา      


การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณา พ.ร.ก.กู้เงิน วันนี้ (30 พ.ค.) ซึ่งเป็นวันที่ 4  มีนายศุภชัย  โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2  ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยตลอดการพิจารณา 3 วันที่ผ่านมา  คณะรัฐมนตรีใช้เวลาไปแล้ว 4 ชั่วโมง 45 นาที   ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลใช้เวลาไปแล้ว 8 ชั่วโมง 35 นาที  ดังนั้น ฝ่ายรัฐบาลเหลือเวลาอภิปราย อีก 10 ชั่วโมง 38 นาที  ขณะที่ ฝ่ายค้าน ใช้เวลาไป 14 ชั่วโมง 23 นาที  เหลือเวลาการอภิปราย 9 ชั่วโมง 36 นาที 


นางมนพร เจริญศรี ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย  เริ่มอภิปรายเป็นคนแรก ว่า  ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการ SMEs มากกว่า 80% เข้าไม่ถึงแหล่งทุนในระบบธนาคาร  จึงเกรงว่าผู้ประกอบการรายย่อยจะเข้าไม่ถึงมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ตาม พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท  หากนายกรัฐมนตรีอยากจะคืนความสุข ก็ขอให้ #ลอถลมตรคล ซึ่งแปลว่า “ลาออกเถอะลุง ไม่ต้องรอคนไล่”

ขณะที่ นายพรชัย อินทร์สุข ส.ส.พิจิตร พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายชื่นชมนายกรัฐมนตรี และ ศบค.มีความสามารถควบคุมโควิด-19 จนผู้นำทั่วโลกชื่นชมประเทศไทย  พ.ร.ก.ที่รัฐบาลได้ประกาศใช้ คือ พ.ร.ก.เราไม่ทิ้งกัน จำนวน 1.9 ล้านล้านบาท จะเป็นผลดีกับประชาชนอีก 16 ล้านคน เป็นเหตุให้ประชาชนมีความสุขเพิ่มขึ้น แต่อาจจะมีเหตุให้ประชาชนขัดข้องบ้าง ล่าช้าบ้าง เป็นเรื่องปกติของระบบ ที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนในเรื่องการได้รับการเยียวยาของรัฐบาล  


ด้าน นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ อภิปรายถึง  พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ ซื้อหุ้นกู้เอกชน วงเงิน 400,000 ล้านบาท ว่า ขณะนี้หุ้นกู้เอกชนทั้งระบบมีทั้งหมด 3.6 ล้านล้านบาท เท่ากับว่ามีงบประมาณเข้าไปรองรับร้อยละ 11 ของหุ้นกู้ทั้งหมด จึงต้องพิจารณาว่าหุ้นกู้ที่จะเข้าไปรับรองรับ มีคุณภาพดีมากน้อยแค่ไหน

นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า โดยปกติการปล่อยหุ้นกู้จะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน มีเพียงหนังสือการยืนยันปล่อยซื้อหุ้นกู้ และการกำหนดเรตติ้งหุ้นกู้ให้กับนักลงทุน แต่มาตรา 11 ของพระราชกำหนดให้มีหลักประกันแก่ผู้ถือตราสารหนี้ ตราสารหนี้ที่กองทุนซื้อ จะต้องได้รับหลักประกันไม่ด้อยกว่าหลักประกันที่ผู้ออกตราสารหนี้ให้แก่ผู้ถือตราสารหนี้อื่นในคราวเดียวกัน  

นายมงคลกกิตติ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีเอกชนขายหุ้นกู้ เพื่อไปใช้หนี้เดิม ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย อาทิ เครือ CP ของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ขายหุ้นกู้ไป 440,562 ล้านบาท เครือ TCC Group ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ขายหุ้นกู้ไป 329,662 ล้านบาท รวมทั้ง 2 ราย ถือเป็นหุ้นกู้กว่าร้อยละ 20 ของทั้งหมด ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน มีแค่เรตติ้งเท่านั้น เช่นเดียวกับ บริษัท การบินไทย มีหุ้นกู้หมื่นล้าน ระดับ A+ แต่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน , ปูนซิเมนต์ไทยมีหุ้นกู้ 5 หมื่นล้านบาท ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน , บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มี หุ้นกู้ 14,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้หมดอายุ ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน 

“จึงขอเสนอให้คณะรัฐมนตรีและธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำกับการซื้อหุ้นกู้ของเอกชน ออกเงื่อนไขให้มีหลักเกณฑ์ในการค้ำประกันร้อยละ 30-50 เพื่อกันพลาด ไม่ให้เกิดเป็นหนี้เสีย และฝากให้รัฐบาลควบคุมติดตามการดูแลของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าการซื้อหุ้นกู้จะพลาดไม่ได้ หากพลาดติดคุก” นายมงคลกิตติ์ กล่าว พร้อมเปรียบเทียบปี 2541 ถึง 2542 มีการขายทรัพย์สินขององค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. ต่ำกว่าราคา จาก 810,000 ล้านบาท ต้องขายไปในราคา 190,000 ล้านบาท ขาดทุน 62,000 ล้านบาททันที  อย่าลืมว่าหนี้เป็นของแผ่นดิน ซึ่งหนี้ของปี 2540 ยังมีค้างอยู่ 748,000 ล้านบาท  

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายตั้งข้อสังเกตถึงการใช้งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบวงเงิน 400,000 ล้านบาท ที่เพิ่งมีหนังสือจากกระทรวงมหาดไทยไปถึงท้องถิ่นทั่วประเทศ ให้รีบเสนอโครงการที่จะใช้จ่ายเข้ามา โดยหนังสือออกวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา และให้ส่งแผนงานหรือโครงการภายในวันที่ 5 มิถุนายน ซึ่งเร่งรีบ ขาดความละเอียดรอบคอบ และระมัดระวังการใช้จ่ายเงิน และตั้งคำถามถึงงบประมาณว่า จะเพียงพอต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เสียหายหนักทั้งประเทศได้หรือไม่

นายยุทธพงศ์ อภิปรายถึง พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบ วงเงินรวมไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ซึ่งกำหนดเงื่อนไข SMEs วงเงินสินเชื่อต้องไม่เกิน 500 ล้านบาท แต่โรงแรมที่ลงทุนในปัจจุบันมูลค่าเกิน 500 ล้านบาท ทำให้ไม่เข้าเงื่อนไขได้รับการช่วยเหลือ และเงินที่จะช่วยเหลือ SMEs ก็เป็นการให้กู้เพิ่ม และต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของยอดหนี้เดิม แทนที่จะให้เงินไปเพื่อลดต้นและดอกเบี้ย แต่กลับเอาหนี้ไปให้กู้เพิ่ม จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทบทวน

นายยุทธพงษ์ กล่าวว่า ส่วนการเก็บดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี โดยไม่เรียกเก็บจากผู้เป็นระยะเวลา 6 เดือน จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องการเอาเงินไปปล่อยต่อ เพราะดอกเบี้ยต่ำ ไม่คุ้ม การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จะต้องใช้เงินคืนให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับเงินกู้ จะกลายเป็นภาระของธนาคารพาณิชย์ จะเอาเงินที่ไหนมาคืน หากผู้กู้ยังไม่ฟื้นตัวในระยะเวลา 2 ปี และกฎหมายยังมีลักษณะ 2 มาตรฐาน โดยกำหนดให้ไม่คิดอัตราค่าธรรมเนียมการกู้เงิน แต่ธนาคารออมสินสามารถเก็บค่าธรรมเนียมได้ จึงต้องการให้ดูเงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้ ให้ครอบคลุมมากขึ้น 

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ส่วน พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงิน 400,000 ล้านบาท เพื่อเอามาช่วยหุ้นกู้ หรือตราสารหนี้   กองทุนที่จะลงทุนอายุไม่เกิน 270 วัน เป็นระยะเวลาที่เร็วมาก และผลตอบแทนหุ้นกู้ ดอกเบี้ยผลตอบแทนขั้นสูงที่ลงทุนหุ้นกู้ ซึ่งจัดหามาจากแหล่งอื่น บวกด้วยค่าธรรมเนียมการขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนร้อยละ 1 ต่อปี สำหรับเงินส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 30 ของยอดตราสารหนี้ที่ครบกำหนด และร้อยละ 2 ต่อปี สำหรับเงินส่วนที่เกินร้อยละ 30 ของยอดตราสารหนี้ที่ครบกำหนด ถือว่าดอกเบี้ยแพง  ขณะนี้มีหลายบริษัทมีปัญหาขอยืดเวลาครบกำหนดหุ้นกู้ออกไป ซึ่งไม่เข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือจากกองทุน 400,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องไปกู้ธนาคารพาณิชย์มาจ่ายเงินให้กับผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกกว่า เช่นบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทชาญอิสระ เป็นต้น

“เงินที่จะช่วยผู้ประกอบการ SMEs ก็มีปัญหา เงินที่จะช่วยหุ้นกู้ก็ไม่สามารถช่วยได้จริง เพราะมีค่าใช้จ่ายแพง  ขณะนี้เป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งแรกของโลก จึงฝากไปถึงรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาสำเร็จลุล่วง ระมัดระวังในการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะเงินกู้รอบนี้เป็นเงินกู้รอบสุดท้ายแล้ว ไม่สามารถกู้มากกว่านี้ได้ จึงต้องทำให้เกิดประโยชน์ ข้อท้วงติงที่ได้อภิปรายไปก็ขอให้รัฐบาลนำไปเป็นข้อสังเกต เพราะสิ่งที่พูดไปเป็นความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง” นายยุทธพงศ์ กล่าว .- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

แจ้งข้อหาเพิ่ม “ทนายตั้ม” คดี 39 ล้านบาท รวม 7 ข้อหา

แจ้งข้อหาเพิ่ม “ทนายตั้ม” คดี 39 ล้านบาท รวม 7 ข้อหา จ่อแจ้งข้อหา “นุ-แซน” เพิ่มเติม และเชื่อว่ามีบุคคลอื่นที่ต้องถูกดำเนินคดีอีก ส่วน “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ยังไม่ประสานเข้าพบหลังออกหมายเรียก

วิสามัญมือยิงประธานสภา อบต.โพนจาน ยิงสู้ จนท.

วิสามัญมือยิงประธานสภา อบต.โพนจาน จ.นครพนม หลังหนีข้ามมา จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ปิดล้อมเกลี้ยกล่อมให้วางอาวุธ แต่ไม่สำเร็จ คนร้ายยิงต่อสู้

ขู่ยื่นเอาผิด รมว.ดีอี ปล่อยโฆษณาหลอกหลวง ปชช.

รัฐสภา 3 ธ.ค. – กมธ.ไอซีที สว. ขู่ ยื่น ม.157 เอาผิด รมว.ดีอี ฉุนเกียร์ว่าง ปล่อยโฆษณาหลอกหลวง ประชาชน – ปล่อย “หมอบุญ” หนีลอยนวล จี้รัฐยกปราบหลอกลวงออนไลน์เป็นวาระแห่งชาติ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม คนที่หก วุฒิสภา แถลงผลการประชุมกมธ. เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ซึ่งตรวจสอบกรณีการโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้ลงทุนในสินทรัพย์ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงอาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรณีของนพ.บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี ที่พบกรณีฉ้อโกงและฟอกเงิน เป็นมูลค่าสูงกว่า 7,500 ล้านบาท อย่างไรก็ดีในคดีดังกล่าวถูกแจ้งความดำเนินคดีที่ สน.ห้วยขวาง แล้วปี 2566 แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ จนกระทั่งนพ.บุญเดินทางออกไปนอกประเทศและไม่มีการอายัดทรัพย์ ทั้งนี้ในการหลอกหลวงผ่านโฆษณาชวนเชื่อนั้น ทำผ่านโบรกเกอร์ที่หลอกลงทุน ทั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นนักลงทุนที่เคยลงทุนที่คุ้นเคยกับเครือโรงพยาบาลธนบุรี “จากการชี้แจงกรณี นพ.บุญของหน่วยงานที่ชี้แจง พบเป็นการโยนกลองกันไปมา ไม่มีหน่วยงานใดที่รับผิดชอบจริงจัง […]

ข่าวแนะนำ

ยูเนสโก ประกาศรับรอง ‘เคบายา’ มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

วธ.เผย ยูเนสโก ประกาศรับรอง ‘เคบายา’ มรดกวัฒนธรรมร่วม 5 ประเทศ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567

รัฐบาลจัดพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้ว อย่างยิ่งใหญ่

พระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว จากสาธารณรัฐประชาชนจีน อัญเชิญมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวงแล้ววันนี้ พร้อมริ้วขบวนอัญเชิญอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนเปิดให้ประชาชนสักการะ พรุ่งนี้ (5 ธ.ค.) วันแรก

เปิดนาทีระทึก! เรือบรรทุก ชนเรือนำเที่ยวกลางเจ้าพระยา

ระทึก เรือพ่วงบรรทุก เฉี่ยวชนเรือนำเที่ยว จอดเทียบริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้สะพานกรุงเทพฯ ทำให้เรือนำเที่ยวขนาดใหญ่เสียหาย 5 ลำ เรือเล็กจมอีก 1 ลำ