“อนุทิน” แจงแบ่งงบด้าน สธ. 45,000 ล้าน เร่งพัฒนาวัคซีน

รัฐสภา 28 พ.ค.-“อนุทิน” แจงแบ่งงบด้านสาธารณสุข 45,000 ล้าน เร่งพัฒนาวัคซีน ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านสาธารณสุขของโลก ขอบคุณทุกกำลังใจ เป็นพลังต่อสู้กับสถานการณ์โควิด-19 มั่นใจความพร้อมสู่การผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 3 


นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยขอบคุณสมาชิกทุกคนที่ให้กำลังใจรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์และตนเอง ซึ่งจะเป็นพลังที่ต่อสู้กับสถานการณ์โควิด-19 อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทุกคนจะรู้สึกปลื้มใจกับการให้กำลังใจจากสภาผู้แทนราษฎร

ส่วนประเด็นที่ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่ารัฐบายปล่อยให้มีกิจกรรมเสี่ยง ให้คนจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้าประเทศ อุปกรณ์การแพทย์ขาดแคลนนั้น นายอนุทิน ชี้แจงว่า นับตั้งแต่มีข่าวการระบาดของโรคโควิด-19 จากประเทศจีน ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2562 กระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรค เปิดสวิตช์ทันที เตรียมองคาพยพให้พร้อมจนวันที่ 3 มกราคม 2563 มีการคัดกรองผู้เดินทางเข้ามาประเทศไทยในจุดสำคัญ เช่น สนามบินและท่าเรือ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ได้ดำเนินการคัดกรองผู้ป่วย โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ประกาศว่าพบผู้ป่วยนอกประเทศจีนรายแรก ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยว และหลังจากนั้นมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว โดยกระทรวงสาธารณสุขทำการรักษานักท่องเที่ยวเหล่านั้นจนหายครบทุกคน สามารถเดินทางกลับประเทศได้


“สิ่งที่ทำไปนี้เป็นประโยชน์มหาศาลต่อประเทศไทย ประเทศจีนมีความซาบซึ้งและชื่นชมประเทศไทยในการดูแลคนของเขาเป็นอย่างดี หลังจากนั้นได้รับการสนับสนุนทั้งเวชภัณฑ์ ยา ข้อมูล เทคโนโลยีต่าง ๆ จากประเทศจีนโดยตลอดจนถึงปัจจุบันนี้” นายอนุทิน กล่าว

ส่วนการปล่อยให้มีกิจกรรมเสี่ยง เช่น สนามมวย การเปิดร้านอาหาร เปิดผับบาร์ นายอนุทิน ชี้แจงว่า จริง ๆ แล้วรัฐบาลออกมาตรการแล้ว อาจจะมีการหลุดบ้าง แต่ที่สำคัญ คือ เมื่อหลุดแล้วต้องสามารถสอบสวนโรคและนำทุกคนมารักษา เช่นที่สนามมวย ทุกคนได้รับการรักษาและขยายผลไม่มีขาดตกแม้แต่คนเดียว ส่วนใหญ่กลับบ้านได้หมดแล้ว มีบางคนที่อายุมากไม่เกิน 2-3 ราย สูงอายุ มีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ทำให้มีอาการหนักและต้องเสียชีวิต แต่สถิติการรักษาพยาบาลสถิติของกระทรวงสาธารณสุข การรักษาโดยบุคลากรทางการแพทย์ยังอยู่ในมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้

สำหรับการปล่อยให้ประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้ามาประเทศมากนั้น นายอนุทิน ชี้แจงว่า รัฐบาลใช้มาตรการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ห้ามนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยออกมาตรการทางการบินและมาตรการคัดกรอง ไม่ว่าจะเป็นการกักตัว 14 วัน หรือการกำหนดให้มีการทํา Exit Scan จากประเทศต้นทางก่อนเดินทางมาสู่ประเทศไทย โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ถึงจะหยุดจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศไทยได้ เว้นแต่จะมีภารกิจจำเป็นจริง ๆ และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปัจจุบันนี้การแพร่เชื้อในประเทศไม่มีแล้ว ประเทศไทยตั้งการ์ดสูงอย่างเต็มที่ มีเพียงการเปิดโอกาสให้คนไทยกลับเข้ามาประเทศ ตามโควตาที่กำหนดให้ ซึ่งต้องทำการกักกันและการตรวจรักษาก่อน


ส่วนความพร้อมด้านสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ นายอนุทิน กล่าวว่า โรงพยาบาลทุกแห่งที่เป็นโรงพยาบาลหลักมีความพร้อมรับมือให้บริการ ตั้งแต่ระบบการคัดแยกผู้ป่วย ระบบการรักษา และการติดตามเฝ้าระวังทุกจังหวัดในประเทศไทย มีห้องแยก มีห้องไอซียู มีห้องป่วยโรคโควิด-19 โดยเฉพาะ ไม่ให้มีการแพร่เชื้อในโรงพยาบาล ส่วนชนกลุ่มน้อยและแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้ามาในประเทศ กระทรวงสาธารณสุขก็ควบคุมคนเหล่านี้ไว้ได้และดูแลตามหลักมนุษยธรรม ซึ่งทราบว่าคนเหล่านี้ติดเชื้อจำนวนมาก แต่ไม่ได้ผลักดันออกไปทันที โดยใช้โรงพยาบาลสนามแทนดูแล มีการใช้เทคโนโลยีทุกชนิด มีความพร้อม ซึ่งเป็นตัวสำรองหากเกิดสถานการณ์ที่ไม่ต้องการให้เกิดหรือการระบาดรอบ 2 แต่ก็ไม่ได้ประมาท กระทรวงสาธารณสุขพร้อมดูแลทุกคนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติหรือเชื้อชาติใด ส่วนการดูแลอาสาสมัครสาธารณสุข หรือ อสม. คนกลุ่มนี้คือคนที่ทำให้ระบบสาธารณสุขที่คิดว่าถึงทางตันแล้ว สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง ทั้ง 1,050,000 คน พวกเราทุกคนเป็นหนี้คนกลุ่มนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องช่วยกันพิจารณาตอบแทนพี่น้อง อสม.เหล่านี้

“กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้การ์ดตก ขอประชาชนตั้งการ์ดสูงตลอดเวลา ถ้านับคะแนนยังไม่น็อคเอาท์ ตอนนี้คะแนนเรานำอยู่ และจะเอาชนะได้เมื่อมีวัคซีน โดยงบประมาณ 45,000 ล้าน กระจายงบประมาณส่วนหนึ่งให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ค้นคว้าหาวัคซีนให้ได้ การที่ประเทศไทยจะเป็นแชมป์ด้านสาธารณสุขของโลก อีกเรื่องเดียว คือ ต้องคิดค้นวัคซีนให้ได้ ส่วนเรื่องอื่นประเทศไทยกวาดมาหมดแล้ว วันหนึ่งถ้าคิดค้นวัคซีนไว้ได้ จึงจะสามารถพูดได้ว่าประเทศไทยคือผู้นำด้านสาธารณสุขอย่างแท้จริง ยืนยันว่าได้กำชับห้ามใช้งบประมาณในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ ต้องใช้เพื่อพัฒนานวัตกรรม องค์ความรู้ เครื่องมือแพทย์ ซึ่งบางประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจถึงขั้นที่ว่าคนนี้ต้องอยู่ คนนี้ต้องตาย แต่ประเทศไทยจะไม่มีวันนั้น ไม่มีวันที่แพทย์จะต้องตัดสินใจว่าใครจะอยู่หรือใครจะตาย จะต้องเตรียมความพร้อมเครื่องมือแพทย์ เวชภัณฑ์ เทคโนโลยี ความเก่งกาจของแพทย์และพยาบาล เทคนิคการแพทย์ เภสัชกร เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคน ซึ่งเป็นนโยบายที่กระทรวงสาธารณสุขวางไว้ และได้รับการสนับสนุนที่ดีจากหัวหน้ารัฐบาล” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า มั่นใจว่าการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 3 เป็นไปเพื่อเข้าสู่การผ่อนคลายการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งขณะนี้อยู่ในกรอบที่คณะรัฐมนตรีให้บังคับใช้ 3 เดือน แต่มองว่าประเทศไทยเตรียมความพร้อมเดินออกจากสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้การบริการดูแลรักษา ไม่ให้โควิด-19 ทำร้ายประชาชนไทยอีกต่อไป ต้องไม่เสียทั้งหมดเพราะโควิด-19 แต่จะต้องได้ประโยชน์จากผู้ที่จะมาใช้บริการทางการแพทย์ในอนาคต สิ่งที่สูญเสียไปจะต้องนำกลับคืนมาให้ได้ ขอขอบคุณประธานและสมาชิกที่ให้กำลังใจ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ลิณธิภรณ์” แจงปมสะกดคำผิด ยอมรับผิดพลาดพร้อมแก้ไข

กระทรวงวัฒนธรรม 4 ก.ค.- “ลิณธิภรณ์” ยอมรับดรามาใช้ภาษาไทยสะกดคำผิด พร้อมแก้ไขปรับปรุงตัว รับปากจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก บอก บางครั้งรีบพิมพ์ไม่ได้ตรวจทาน ทำเกิดผลเสียทุกวันนี้ แจงมีปัญหาสุขภาพ อาจทำให้ออกเสียงควบกล้ำไม่ได้ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงดรามาเรื่องการใช้ภาษาไทยในโซเชียลมีเดีย ว่า ตนขอยอมรับอย่างซื่อตรง ว่าบางครั้งในการสะกดคำของตนเองก็มีความผิดพลาด ซึ่งบางครั้งใช้การพิมพ์ด้วยเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือ และได้โพสต์ข้อความไปแล้ว ก่อนจะมารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไป 2-3 ชั่วโมง มันเป็นความผิดพลาด อันนี้ตนยอมรับด้วยความจริงใจ และวันนี้ตนก็เข้าใจดีว่าเมื่อมานั่งตำแหน่งตรงนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือต้องปรับปรุง และคิดว่าหลังจากนี้ความผิดพลาดเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะตนก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน ของประเทศเหมือนกัน รวมถึงอีกสิ่งที่ตนอยากจะบอกคือการออกเสียงควบกล้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบ จากปัญหาสุขภาพ แต่ส่วนหนึ่งตนก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า วันนี้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในภาพนโยบายใหญ่ คงต้องขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยใน รายละเอียดที่ชัดเจน และจะเข้ากระทรวงพร้อมกันในวันที่ 8 กรกฎาคม สำหรับตนหากใครที่เคยติดตาม ก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ พูดเรื่องการศึกษาในส่วนของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเรื่องการลดค่าสอบทีแคส (TCAS) รวมถึงเรื่องการทำโครงการ ด้านสุขภาพภาวะจิต และอาจจะเป็นโครงการหนึ่งที่ตนจะสานต่อ […]

มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ที่บราซิล

ทำเนียบ 3 ก.ค.-มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 17 ที่บราซิล 6-7 ก.ค.นี้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 6 – 7 กรกฎาคม 2568 ร่วมกับผู้นำจาก 10 ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS และประเทศหุ้นส่วนจากหลากหลายประเทศ ที่นครรีโอเดจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยไทยเข้าร่วมในฐานะประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS (Partner Country) สำหรับการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “เสริมสร้างความร่วมมือโลกใต้เพื่อการสร้างธรรมาภิบาลที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยบราซิลในฐานะประธานกลุ่ม BRICS ปีนี้ ให้ความสำคัญกับประเด็นหลัก 6 ด้าน ได้แก่ (1) สาธารณสุข (2) การค้า การลงทุน และการเงิน (3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ธรรมาภิบาลของปัญญาประดิษฐ์ […]

Hun Sen, at event marking ruling party's 74th founding anniversary

ฮุน เซน เรียกร้องปั๊ม ปตท. งดนำเข้าน้ำมันจากไทย

พนมเปญ 3 ก.ค.- นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเรียกร้องให้เจ้าของปั๊ม ปตท.เลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าจากประเทศอื่นแทน สื่อของกัมพูชารายงานว่า นายฮุน เซน พูดถึงเรื่องนี้ในระหว่างการประชุมกับครูและนักเรียนที่ศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมในจังหวัดไพรแวงในวันนี้ เรียกร้องให้เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.ทุกแห่งในกัมพูชาเลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นจากเวียดนาม  มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อปั๊ม แม้ว่า ปตท.จะเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยก็ตาม นอกจากนี้นายฮุน เซนยังพูดถึงเรื่องที่ไทยเคยขู่ว่าจะตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต ห้ามขายเชื้อเพลิง และอื่นๆ ให้กัมพูชาด้วยว่า เมื่อไทยขู่มากัมพูชาก็ตอบโต้ทันที กัมพูชาต้องพึ่งพาตนเองให้ได้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในอนาคตเหมือนกับที่กำลังเผชิญจากไทยในเวลานี้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากไทย แต่กัมพูชาก็ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ของกัมพูชา ประธานวุฒิสภากัมพูชาเน้นย้ำว่า มาตรการทั้งหมดที่กัมพูชาได้ดำเนินไปนั้นเป็นการตอบโต้โดยตรงกับภัยคุกคามจากฝ่ายไทย รวมทั้งการที่ไทยปิดด่านพรมแดนแต่เพียงฝ่ายเดียว เขาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า การเจรจากับไทยจะเริ่มขึ้นได้ ต่อเมื่อฝ่ายไทยจะต้องยอมเปิดด่านทุกจุดอย่างเต็มรูปแบบเหมือนที่เคยทำก่อนวันที่ 7 มิถุนายนแล้วเท่านั้น.-816(814).-สำนักข่าวไทย

เปิด 7 จุดยืน “ปชน.” ทางออกประเทศหาก “แพทองธาร” พ้นเก้าอี้

กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “แพทองธาร” พ้นตำแหน่ง เปิดเงื่อนไขโหวตนายกฯ คนใหม่ พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “นายกฯ แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่ง เพื่อนำพาประเทศไปสู่ทางออกที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับประชาชนทุกคน ดังนี้ 1.สิ่งที่ประเทศต้องการมากที่สุด คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรม และสามารถตั้งทีมบริหารจากความรู้ความสามารถ ไม่ใช่จากการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง2.รัฐบาลที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากสภาชุดปัจจุบัน ทางออกสำหรับประเทศจึงเป็นการจัดให้มี “การเลือกตั้งใหม่” โดยเร็ว3.รักษาการนายกฯ ควรประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้อำนาจที่ตนเองมี ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง4.หากรักษาการนายกฯ ไม่ทำ และมีเหตุใดที่ทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง กระบวนการในการเลือกนายกฯ คนใหม่ จะต้องนำไปสู่การได้มาซึ่งนายกฯ ที่พร้อมเดินหน้าสู่การยุบสภา5.เพื่อให้ประเทศไม่ถูกบีบไปสู่ทางตันหรือการใช้อำนาจนอกครรลองประชาธิปไตย เราพร้อมจะพิจารณาลงมติให้กับผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่คนใดก็ตาม ที่ยอมรับ “เงื่อนไข” ในการเป็นรัฐบาลชั่วคราว โดยทางพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและจะไม่มีใครจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรี 6.“เงื่อนไข” ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา สำหรับนายกฯ คนใหม่ จะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย6.1 การประกาศเส้นตายว่าจะยุบสภาภายในสิ้นปี6.2 การยืนยันภารกิจเฉพาะหน้าที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว (เช่น การดำเนินการให้มีการจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง เพื่อถามประชาชนเรื่องการมี […]

ข่าวแนะนำ

เด้ง 5 เสือ สน.บางเขน เซ่นจับบ่อนสะพานใหม่

กทม. 5 ก.ค. – สั่งเด้ง 5 เสือ สน.บางเขน เซ่นจับบ่อนสะพานใหม่ ขณะที่เช้านี้เจ้าหน้าที่คุมตัว 72 นักพนัน ไปฝากขังศาลแขวงดอนเมือง พบส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.เสกสิทธิ์ สุภาอ้วน รอง ผบก.น.2 รรท.ผบก.น.2 ลงนามในคำสั่ง กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ที่ 183/2568 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ และแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเมื่อวันที่ 4 ก.ค.68 เวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้เข้าทำการสืบสวนสถานที่ต้องสงสัย ซึ่งคาดว่าเป็นบ่อนการพนัน บริเวณอาคารพาณิชย์ กลางซอยพหลโยธิน 52 แยก 3 แขวงคลงถนน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร และได้จับกุมผู้ต้องหากับพวกในข้อหา “ร่วมกันเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันไฮโล เพื่อพนันเอาทรัพย์สินกัน โดยไม่ได้รับอนุญาต”และ “ร่วมกันเข้าเล่นหรือเล่นการพนันโฮโลเพื่อพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งเหตุดังกล่าวเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบของสน.บางเขน เพื่อให้การบริหารงานในภาพรวมของ กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเรียบร้อย […]

ค้นบ้านพักสีกา คนสนิท “ทิดอาชว์” พบจีวรหลายผืน

กทม. 5 ก.ค.-“บิ๊กเต่า” รับเมื่อวาน ปปป. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำหมายศาลค้นบ้านพักสีกา ก.ไก่ คนสนิท “ทิดอาชว์” อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ พบภายในบ้านมีจีวรหลายผืน เวลา 10.00 น. พลตำรวจตรี จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ บช.ก. เปิดเผยถึงความคืบหน้า การสืบสวนสอบสวนหาข้อมูลและหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับวัดตรีทศเทพ ว่าเมื่อวานที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพักหลังหนึ่งในหมู่บ้านดังของสีกาไฮโซ อักษรย่อ ก.ไก่ หญิงสาวคนสนิทของทิดอาชว์ เพื่อค้นหาพยานหลักฐาน พร้อมสอบปากคำสีกาคนดังกล่าว จากการตรวจค้นภายในบ้านพัก พบพยานหลักฐานจำนวนหนึ่ง โดย 1 ในนั้นเป็นจีวรพระหลายพื้น แต่จะเป็นของพระรูปไหนอย่างไร ยังไม่ทราบ เพราะเจ้าตัวยังไม่เปิดเผย จากการสอบปากคำสีกา ก. ให้การเป็นประโยชน์เป็นที่น่าพอใจ สามารถขยายผลนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนคดีทุจริตในอนาคตได้ นอกจากนี้ สีกาไฮโซ ก. ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นให้ความร่วมมือในทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม หลังหมดเวลาตรวจค้น 18.00 น. เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัว […]

‘ทรัมป์’ ฉลองวันชาติสหรัฐด้วยการลงนามร่างกฎหมายสำคัญ

วอชิงตัน 5 ก.ค. – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เมลาเนีย ทรัมป์ ได้ร่วมฉลองวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐเมื่อวานนี้ ด้วยการแสดงพลุไฟตระการตาเหนือน่านฟ้ากรุงวอชิงตัน นายทรัมป์จัดพิธีฉลองวันชาติที่สนามหญ้าด้านทิศใต้ของทำเนียบขาวในวันหยุดเพื่อรำลึกวันประกาศอิสรภาพ 4 กรกฎาคม โดยมีการแสดงการบินของเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนและเครื่องบินขับไล่ คล้ายกับที่เครื่องบินที่ใช้ในการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ในอิหร่านเมื่อเร็วๆ นี้ มีผู้สนับสนุนนายทรัมป์หลายร้อยคนเข้าร่วม รวมถึงเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว สมาชิกสภาคองเกรส และครอบครัวทหาร ก่อนหน้านั้น นายทรัมป์ลงนามบังคับใช้ แพ็กเกจกฎหมายขนาดใหญ่ว่าด้วยการลดภาษีและการใช้จ่าย ในพิธีที่จัดขึ้นที่ทำเนียบขาว เพียงหนึ่งวันหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ได้อนุมัติร่างกฎหมายสำคัญนี้ไปอย่างฉิวเฉียด ซึ่งถือเป็นกฎหมายสำคัญประจำวาระที่สองของรัฐบาลทรัมป์ ร่างกฎหมายฉบับนี้จะใช้เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการปราบปรามการเข้าเมืองของนายทรัมป์ ทำให้การลดภาษีในปี 2017 ของเขาเป็นไปแบบถาวร และคาดว่าจะทำให้ ชาวอเมริกันหลายล้านคนถูกตัดสิทธิ์จากการประกันสุขภาพ โดยร่างกฎหมายผ่านสภาฯ ด้วยคะแนนเสียง 218 ต่อ 214 หลังจากการอภิปรายที่เข้มข้นในสภา การผ่านร่างกฎหมายนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับทรัมป์และพันธมิตรพรรครีพับลิกัน ซึ่งโต้แย้งว่ากฎหมายจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็มองข้ามการวิเคราะห์ที่เป็นกลางซึ่งคาดการณ์ว่ากฎหมายจะเพิ่ม หนี้ของประเทศอีกกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ จากหนี้ปัจจุบันที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ แม้ว่าสมาชิกสภาบางคนจากพรรคของนายทรัมป์จะแสดงความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนของร่างกฎหมายและผลกระทบต่อโครงการดูแลสุขภาพ แต่สุดท้ายแล้วมีเพียง ส.ส. รีพับลิกันเพียงสองคนจากทั้งหมด 220 […]

เจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐ บรรยากาศดีขึ้น

ทำเนียบ 5 ก.ค.-โฆษกรัฐบาล เผยทีมประเทศไทย เจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐ บรรยากาศดีขึ้น เตรียมปรับข้อเสนอ เน้นตอบโจทย์ผลประโยชน์ win-win ร่วมกัน เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา เวลา 22.00น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำคณะประเทศไทยเริ่มต้นกระบวนการเจรจาอย่างเป็นทางการกับฝ่ายสหรัฐ แล้ว โดยเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 เวลา 21.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย พบหารือกับนายเจมิสัน กรีเออร์ (Mr. Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐ (United States Trade Representative – USTR) ซึ่งเป็นการหารือในระดับรัฐมนตรีครั้งแรกระหว่างสองประเทศ นายพิชัยได้กล่าวถึงบรรยากาศการเจรจาในครั้งนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เปิดกว้าง และมีพัฒนาการเป็นที่น่าพอใจ โดยฝ่ายไทยได้รับข้อเสนอแนะจากสหรัฐอย่างตรงไปตรงมาและเป็นประโยชน์ ซึ่งคณะประเทศไทยจะได้นำฟีดแบ็กนี้กลับไปใช้ในการพิจารณาจัดทำข้อเสนอใหม่ บนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย (win-win solution) โดยตั้งเป้าหมายที่จะเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ภายในกรอบเวลาที่กำหนดในสัปดาห์หน้า ภายใต้หลักการที่ว่า […]