นายกฯ แถลงผลเดินสายพบภาคเอกชน รับฟังปัญหาผลกระทบโควิด

กทม. 26 พ.ค. – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แจงผลเดินสายพบปะภาคเอกชน รับฟังปัญหาผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขอบคุณที่เป็นส่วนสำคัญของทีมประเทศไทย พร้อมกำหนดนโยบายโควตางบจัดซื้อจัดจ้าง ต้องซื้อสินค้าบริการจากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมกระจายตามท้องถิ่น


พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงถึงการเดินสายพบภาคเอกชนหลังหารือกับสมาคมภาคธุรกิจต่างๆ ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า วิกฤติโควิด-19 ที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ไม่เพียงเป็นวิกฤติด้านสาธารณสุข แต่ยังเป็นวิกฤติที่รุนแรงมากที่ส่งผลกระทบต่อการทำมาหากินของประชาชนในด้านสาธารณสุข ประเทศไทยประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดได้ดีและรวดเร็ว หากเปรียบเทียบกับอีกหลายประเทศในโลก ผมรู้สึกทึ่งกับบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ทั้งแพทย์ พยาบาล พนักงานส่วนงานต่างๆ ในสถานพยาบาล อสม.ทั่วประเทศ รวมถึงบุคลากรในภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้อง แม้กระทั่งพนักงานทำความสะอาดในสถานที่ต่างๆ ทุกท่านล้วนเป็นบุคคลสำคัญ ตลอดจนการให้ความร่วมมือ และการมีวินัยของคนไทยทุกคน ทั้งการหมั่นล้างมืออยู่เสมอ และการใส่หน้ากาก โดยไม่ต้องมีกฎหมายบังคับเหมือนในบางประเทศ แต่คนไทยทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน จนเราประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ นี่เป็นสิ่งที่พวกเราควรภูมิใจในความสำเร็จของประเทศไทยของเรา

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งวิกฤติที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ นั่นคือวิกฤติเรื่องการขาดรายได้ หาเลี้ยงปากท้องของพี่น้องประชาชน ดังนั้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยจัดการกับวิกฤติเรื่องปากท้อง ผมได้เดินทางไปพบกับสมาคมภาคธุรกิจต่างๆ ด้วยตัวของผมเอง ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เน้นสมาคมที่เป็นตัวแทนของผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก และคนทำมาหากินทั่วประเทศ เป็นสมาคมที่ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้พบปะมาก่อน แต่ผมรู้ว่าเป็นภาคธุรกิจที่เจ็บปวดมากที่สุดจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น


การที่ผมไปพบสมาคมภาคธุรกิจต่างๆ ด้วยตัวเอง โดยขอให้ทุกท่านเล่าความเดือดร้อน รวมทั้งแสดงความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆ ให้ผมทราบ เพราะผมต้องการรับฟังโดยตรง เพื่อเข้าใจความเดือดร้อนที่แท้จริงที่เกิดขึ้น เป้าหมายของผมคือ หาวิธีแก้ปัญหาตรงหน้า ที่จะสามารถทำได้ทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้นก่อน ซึ่งผมก็ได้รับข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์อย่างมากจากสมาคมต่างๆ

การไปพบสมาคมภาคธุรกิจยังทำให้ผมได้รับกำลังใจกลับมาด้วย เมื่อผมได้เห็นว่า มีผู้มีความรู้ความสามารถมากมาย ที่เชี่ยวชาญและรู้ชัดว่าต้องทำอย่างไรกับภาคธุรกิจของตัวเอง และสิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือ เขาเหล่านั้นมีความรักความห่วงใยประเทศ เขาไม่เพียง “ขอ” ความช่วยเหลือให้กับภาคธุรกิจของตัวเอง แต่เขายังได้นำเสนอสิ่งที่จะดีสำหรับประเทศชาติด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้ผมขอรายงานผลที่ได้จากการไปพบปะหารือกับสมาคมภาคธุรกิจต่างๆ มีหลายอย่างที่ผมได้สั่งการให้เกิดขึ้นแล้ว และอีกหลายอย่างที่ผมตัดสินใจแล้วว่า จะผลักดันให้เกิดขึ้น


อย่างแรก ผมได้สั่งการในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จะเป็นนโยบายกำหนดโควตาของงบประมาณจัดซื้อจัดจ้างที่ตั้งไว้แล้ว ต้องไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการจากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม รวมไปถึงผู้ประกอบการเล็กๆ ในท้องถิ่นต่างๆ ทั้งนี้พิจารณาให้อยู่ในกรอบของข้อกฎหมาย นั่นหมายความว่าเงินจะถูกกระจายออกไปเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจรากหญ้า ผู้ประกอบการขนาดเล็ก และกลุ่ม SME ทั่วประเทศ โดยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ผ่านมาตรฐานรับรองตามกฎหมาย โดยจะต้องจัดทำบัญชีผลิตภัณฑ์ขึ้นทะเบียนให้ทราบล่วงหน้า เพื่อพิจารณา อย่างเช่น การขึ้นบัญชีนวัตกรรมที่ดำเนินการมาแล้ว และเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่สั่งการนี้เกิดขึ้นจริง ผมจะติดตามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง โดยได้สั่งการให้หน่วยงานภาครัฐทำรายงานให้ผมรับทราบตอนสิ้นปี นอกจากนั้น อยากขอความร่วมมือจากบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ หากต้องซื้อของ หรือใช้บริการอะไร ขอให้ช่วยกันสั่งซื้อของและใช้บริการจากผู้ประกอบการ SME ในประเทศของเรา เนื่องจากกลุ่ม SME ได้สร้างงานสร้างอาชีพให้กับพี่น้องมากกว่า 14 ล้านคนทั่วประเทศ และเป็นฟันเฟืองที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย

ประการที่ 2 ผลจากการหารือกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ผมได้รับทราบว่า สถานที่ค้าขายต่างๆ รวมทั้งศูนย์การค้า ห้างร้าน ต่างต้องการให้รีบเปิดสถานที่ค้าขายโดยเร็วที่สุด เพื่อกลับมาทำมาหากินกันได้อีกครั้ง โดยตัวแทนของภาคธุรกิจได้เล่าถึงวิธีการ และความพร้อมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด ที่ห้างร้านต่างๆ ได้เตรียมการกันไว้อย่างเข้มงวด ทำให้ผมสบายใจในระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้สั่งการ เริ่มเปิดห้างร้านต่างๆ ได้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขอขอบคุณสำหรับการลงทุนและความเข้มงวด ที่ทุกคนพยายามช่วยกันดูแลรักษาสุขอนามัยให้ได้อย่างเหมาะสม

ประการที่ 3 ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งได้บอกชัดเจนว่าต้องการให้นักท่องเที่ยวกลับมาโดยเร็ว ประเด็นนี้ผมอยากบอกกับทุกคนว่าผมรับทราบ และเข้าใจความต้องการของท่าน ซึ่งผมจะดำเนินการตามที่ท่านเสนอ เมื่อผมเห็นว่าความเสี่ยงของการแพร่ระบาดโควิด ลดลงไปอยู่ในระดับที่เราจะยอมรับความเสี่ยงนั้นได้ เพราะสิ่งที่เราต้องระมัดระวังอย่างมากคือ ถ้าเราเปิดให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยได้เร็วเกินไป หากนำเชื้อโควิดเข้ามาด้วย ทุกอย่างที่เราทำมาได้ดีทั้งหมดจะเสียเปล่า แล้วเราจะต้องกลับไปเริ่มต้นกันใหม่ ปิดทุกอย่างอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นหายนะอย่างแท้จริงสำหรับทุกคนในประเทศ นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หาจุดสมดุลของการดูแลเรื่องสาธารณสุข และการช่วยเหลือเรื่องการทำมาหากินของประชาชน ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่า ผมนึกถึงพี่น้องนับล้านๆ คนที่ต้องพึ่งพาหารายได้จากธุรกิจท่องเที่ยว อยู่ตลอด

ประการที่ 4 ผมได้สั่งการและสนับสนุนให้หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐพิจารณาการใช้งบประมาณที่มีอยู่แล้วสำหรับการจัดประชุมสัมมนา ขอให้ออกไปใช้สถานที่ หรือโรงแรมในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ผมหวังว่านี่จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการซึ่งอยู่ในภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยได้กำชับด้วยว่า ขอให้เลือกใช้โรงแรมที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย

ประการที่ 5 จากการหารือกับสมาคมภาคธุรกิจต่างๆ ทำให้ได้รับทราบว่ามีแรงงานในบางภาคธุรกิจและในบางพื้นที่ ซึ่งนายจ้างจำเป็นต้องปิดกิจการชั่วคราว แต่แรงงานกลับไม่ได้รับเงินชดเชยประกันสังคม อาจจะด้วยปัญหาความไม่ชัดเจนในวิธีการพิจารณาและวิธีปฏิบัติ เมื่อทราบข้อเท็จจริง และพิจารณาเหตุผลต่างๆ แล้ว ผมเห็นด้วยว่าเป็นประเด็นที่ต้องรีบแก้ไข ผมจึงได้สั่งการ และขณะนี้ได้ดำเนินการให้มีความชัดเจนแล้ว ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และแรงงานก็ได้รับเงินชดเชยจากประกันสังคม

ประการที่ 6 ซึ่งเป็นผลมาจากการหารือกับสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ผมได้รับทราบถึงสิ่งที่เกษตรกรกังวลใจมากที่สุด มากกว่าโควิด นั่นคือ ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำ จึงได้สั่งการไปแล้วว่าให้หาวิธีการรับมือกับสถานการณ์น้ำในช่วงนี้ก่อนโดยทันที อะไรที่ทำแล้วจะช่วยได้บ้าง ก็ขอให้ทำไปก่อน ซึ่งผมขอแจ้งให้ทราบว่า จากข้อมูลและข้อเสนอแนะที่มีประโยชน์จากสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ขณะนี้ตัวแทนชาวนาและเกษตรกรกำลังจัดทำแผนปฏิบัติที่ตรงจุด ซึ่งจะนำเสนอให้ผมพิจารณาเร็วๆ นี้ และผมจะมารายงานให้ทุกท่านทราบในโอกาสต่อไป

ประการที่ 7 จากที่ได้ไปพบและหารือกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ซึ่งได้นำเสนอข้อมูลและข้อเสนอแนะที่สำคัญให้ทราบ เพื่อหาวิธีการแก้ไขปัญหาในระยะยาวของภาคการประมง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของการประกอบอาชีพ ซึ่งผมเห็นด้วยในหลายเรื่อง แต่ด้วยมีความซับซ้อนอยู่หลายประเด็น ผมจึงสั่งการให้ตั้งทีมทำงานขึ้นมา เพื่อช่วยกันคิดวิธีแก้ปัญหา แล้วรายงานให้ผมทราบโดยตรง สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผมจะเชิญตัวแทนจากสมาคมประมง ทั้งประมงพาณิชย์ และประมงพื้นบ้าน เข้ามานั่งเป็นทีมทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของภาครัฐด้วย เพื่อให้เราได้ยินเสียงจากคนที่ทำมาหากินอยู่ในอาชีพจริงๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทำให้เราหาวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง ตรงจุด และรวดเร็ว

นี่เป็นส่วนหนึ่ง บางเรื่องที่ได้สั่งการไปแล้ว และเริ่มเกิดการปฏิบัติแล้วในระดับนโยบายและสั่งการแก้ไขปัญหา หาวิธีการที่เหมาะสมโดยยึดกฎหมายเป็นหลัก ทั้งกฎหมายสากล และกฎหมายในประเทศ

สุดท้ายนี้ การเดินทางไปพบปะสมาคมภาคธุรกิจต่างๆ ทำให้ได้พบกับบุคคลที่น่าประทับใจหลายท่าน ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างมากที่เป็นส่วนสำคัญของทีมประเทศไทยของเรา สิ่งที่อยากจะขอบคุณเป็นพิเศษคือ การที่ท่านทั้งหลายไม่เพียงมีความห่วงใยในภาคธุรกิจของตัวเอง แต่ทุกท่านยังมีความห่วงใยต่อประเทศด้วย นี่คือหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของคนไทย และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยของเราให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็งต่อไป. – สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ.จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ 4 ทหารหาญ พร้อมปูนบำเหน็จ

กทม. 30 ก.ค.-กองทัพบกสดุดีทหารกล้า จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพ 4 ทหารหาญ พร้อมปูนบำเหน็จ ขอพระราชทานยศทหารเลื่อนขั้นอย่างสมเกียรติ วันที่ 30 ก.ค. 68 กองทัพบกร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมและส่วนราชราชการพื้นที่ จัดพิธีพระราชทานเพลิงศพทหารกล้าที่สละชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ จากเหตุการณ์พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยใน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้คณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบก ร่วมเป็นเกียรติในพิธีพระราชทานเพลิงศพของทหารหาญ จำนวน 4 นาย ดังนี้ 1.ส.อ.จิรายุ สิงห์อ้น ตำแหน่งพลลาดตระเวน กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 (ร้อย ลว.ไกล 6) กองพลทหารราบที่ 6 ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ (25 ก.ค.68) ณ วัดตลาดราชมงคล อ.จตุรพักตรพิมาน จ.ร้อยเอ็ด โดยมี พล.อ. ณัฐวุฒิ นาคะนคร รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีพระราชเพลิงศพ โดยกองทัพบกได้ดำเนินการปูนบำเหน็จพิเศษ 7 ขั้น ขอพระราชทานยศทหารเป็นร้อยโท […]

ทบ.ยันไทยมีแผนพานานาชาติดูจุดเขมรถล่มเหมือนกัน

กทม. 30 ก.ค.-กองทัพบก ยันไทยมีแผนพานานาชาติดูจุดเขมรถล่มเหมือนกัน ประชาคมโลกต้องเห็นความเสียหาย ทั้งบ้านเรือน-โรงเรียน-โรงพยาบาล เร็วๆ นี้ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ เข้าดูพื้นที่บริเวณจุดปะทะ บริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานีว่า จุดที่ฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศลงไปดูพื้นที่ปฏิบัติการทางทหาร บริเวณจุดที่เคยมีการปะทะกันนั้น เป็นบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา พื้นที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี จึงเห็นมีภาพปรากฏถึงความเสียหายที่เกิดจากการใช้อาวุธจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งคงเป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในบริบทของพื้นที่ทางยุทธการ และบริเวณนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายทางทหาร สำหรับฝ่ายไทยมีแผนจะจัดกิจกรรมในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน โดยฝ่ายไทยจะไม่เน้นการสร้างภาพลวงแบบฉาบฉวย แต่จะเน้นสื่อสารเชิงคุณภาพ สิ่งที่จำเป็นจะต้องสื่อถึงประชาคมโลกคือ ความเสียหายต่อบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ฝ่ายทหารกัมพูชาจงใจพุ่งเป้าโจมตีไปยังเป้าหมายเหล่านั้น จนมีพลเรือน ประชาชน เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวอยู่ลึกไกลเข้ามาภายในประเทศไทย และห่างจากพื้นที่สู้รบเข้ามาในไทยไกลมากถึง 10-30 กิโลเมตร พล.ต.วินธัย กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย รวมถึงขัดต่อหลักปฏิบัติทางทหารตามกฎหมายสากล และหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเจตนาละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ ที่ห้ามการโจมตีพื้นที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรบ กองทัพบกไทยขอยืนยันอีกครั้งว่า เราปฏิบัติการเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารเป็นหลักเท่านั้น และยึดมั่นในกติกาสากล โดยขอย้ำว่า ฝ่ายไทยไม่ได้รุกรานใคร แต่เรามีสิทธิชอบธรรมในการปกป้องประชาชนและผืนแผ่นดินของเรา.-313.-สำนักข่าวไทย

เปิดภาพโรงพยาบาลไทยเสียหายหนัก หลังถูกกัมพูชาโจมตีด้วยอาวุธหนัก

ทำเนียบ 30 ก.ค.-โฆษกรัฐบาล เปิดภาพโรงพยาบาลไทยเสียหายหนัก หลังถูกกัมพูชาโจมตีด้วยอาวุธหนัก พร้อมประณามกัมพูชาละเมิดมนุษยธรรมร้ายแรง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ประณามการกระทำของรัฐบาลและกองทัพกัมพูชาอย่างรุนแรง กรณีการใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายที่เป็นสถานพยาบาลของไทยในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักมนุษยธรรมขั้นพื้นฐานและเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน พร้อมกันนี้นายจิรายุ ยังเปิดภาพโรงพยาบาลบางส่วนที่ได้รับความเสียหาย ได้แก่ โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) คำโปรย, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โคก, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ซำเม็ง “ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมโลกจับตามองและประณามการกระทำดังกล่าว ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่ยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด โดยปฏิบัติการเฉพาะต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียแก่พลเรือ” โฆษกรัฐบาล ระบุ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. พบว่า จากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชา ได้ส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 15 ราย ในพื้นที่จ.อุบลราชธานี และศรีสะเกษ บาดเจ็บสาหัส 12 […]

เหตุพลุระเบิด เสียชีวิตเพิ่มเป็น 10 คน

สุพรรณบุรี 30 ก.ค. – เหตุพลุระเบิด จ.สุพรรณบุรี พบผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ราย ที่โรงพยาบาล รวมเสียชีวิต 10 ราย บาดเจ็บ 1 ราย สั่งการตั้งศูนย์ ศปก. ที่วัดโพธิ์ท่าทราย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย คืบหน้าเหตุพลุระเบิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี ล่าสุด พล.ต.ต.วัชรินทร์ ประสพดี ผู้บังคับการภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มียอดผู้เสียชีวิต จำนวน 10 ราย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 9 ราย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บ 1 ราย ขณะนี้ได้สั่งการตั้งศูนย์ ศปก. ที่วัดโพธิ์ท่าทราย ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงประสานชุด EOD เข้าเก็บกู้ดินปืน เนื่องจากตรวจสอบพบหลุมขนาดใหญ่สีดำจำนวน 2 หลุม และดินปืนจำนวนหนึ่ง อีกทั้งยังพบร่างผู้เสียชีวิต ชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งบริเวณที่เกิดเหตุ ส่วนข้อมูลการตรวจสอบ พบว่าบ้านหลังนี้มีการลักลอบผลิตพลุไล่นก.-สำนักข่าวไทย