กรุงเทพฯ 26 พ.ค. – ไทยศึกษาโครงการปิโตรเคมี ระยะที่ 4 ดูทั้งภาคใต้/ภาคตะวันออกเสริมศักยภาพกระจายไปสินค้าสู่ประเทศเป้าหมาย ผนวก New Normal
นายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถาบันฯอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูลศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ระยะที่ 4 หลังได้รับว่าแจ้งจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ซึ่งจะศึกษาเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2563 ส่วนวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการใช้พลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซฯชะลอตัวนั้น เชื่อว่า จะเป็นสถานการณ์ในระยะสั้นเท่านั้น โดยหลังจากโควิด-19 คลี่คลายลง ก็จะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มกลับมาฟื้นตัว ภาคธุรกิจเริ่มลงทุน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งเกี่ยวโยงกับสินค้าจำเป็นที่มนุษย์ต้องใช้ ก็ต้องกลับมา แต่ก็ต้องดูว่าผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่จะสนองต่อความต้องการของพฤติกรรมผู้บริโภคในขณะนั้น โดยดูถึงชีวิตวิถีใหม่หรือ new normal ซึ่ง สถาบันฯได้ส่งผลการศึกษารายงานเบื้องต้นให้กับ สนพ. ไปแล้ว ตามขั้นตอนจะต้องจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วย แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากติดปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้ประเทศไทยได้ทำแผนพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมาแล้ว 3 ระยะ ตั้งแต่ปี2523 ยุคโชติช่วงชัชวาลย์ที่นำก๊าซในอ่าวไทยมาสร้างมูลค่าเพิ่มจนเกิดการลงทุนการจ้างงานมากมายในภาคตะวันออก
“แผนพัฒนาฉบับที่ 4 จะศึกษาทั้งเรื่องเทรนด์อุตสาหกรรมใหม่ พื้นที่ส่งเสริมรวมไปถึงการจัดหาวัตถุดิบทดแทนหลังจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยลดน้อยลง มองไปถึง การแข่งขันของต่างประเทศ, เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากขึ้น ส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดไหนที่เข้าสู่ภาวะอิ่มตัวนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอยู่ในช่วงของการจัดทำข้อมูลต่างๆ” นายคุรุจิตกล่าว
สำหรับ แนวทางศึกษาโครงการปิโตรเคมี ระยะที่ 4 จะไม่ใช่พื้นที่รองรับรองการจัดตั้งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น แต่จะเป็นส่วนที่ช่วยเสริมศักยภาพการขนส่งสินค้ากระจายไปสู่ประเทศเป้าหมายมากขึ้น โดยดูรอบด้าน ได้แก่
1. เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ยุคที่วัตถุดิบตั้งต้นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เริ่มน้อยลงตามกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่จะลดลง และการแข่งขันของต่างประเทศ ประกอบกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากขึ้น ดังนั้น อุตสาหกรรมปิโตรเคมีประเภทไหน จะเหมาะสมกับการที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม และกลายเป็นอุตสาหกรรมหลัก ที่สร้างประโยชน์ รายได้ และการจ้างงานให้กับประเทศชาติ ซึ่งประเด็นนี้จะต้องดูถึงเทคโนโลยีปิโตรเคมีปัจจุบัน ที่ดำเนินการมาถึงโครงการปิโตรเคมี ระยะที่ 3 แล้ว การจะไปต่อระยะที่ 4 ก็ต้องพิจารณาดูว่าจะมีผลิตภัณฑ์อะไร ที่สามารถผลิตสินค้าออกมาทันต่อความต้องการของตลาดและสอดรับต่อทิศทางของโลกได้
2. ในแง่ของการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานของไทย และนโยบายส่งเสริมการลงทุน มีพร้อมหรือไม่
3.กฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านพื้นที่ ด้านโลจีสติกส์ ศุลกากรต่างๆ จะเอื้อต่อการพัฒนาโครงการฯโดยที่ไม่มีอุปสรรคหรือไม่
และ 4.พื้นที่มีความอิ่มตัวหรือไม่ โดยเฉพาะภาคตะวันออก ยังมีพื้นที่อื่นหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการศึกษาไปที่ภาคใต้ โดยจะต้องดูถึงการรองรับการผลิตให้ตอบโจทย์เป้าหมายใหม่ที่ไม่ได้มองแค่การผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า แต่ยังมองไปถึงการทำตลาดใหม่ในอนาคตด้วย เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย แอฟริกา พื้นที่ก็ควรเชื่อมโยงศึกษาช่องทางออกทะเลฝั่งอันดามัน
นอกจากนี้ในแง่ อุตสาหกรรมจะดูครบวงจรว่า อุตสาหกรรมประเภทใด เป็นอุตสาหกรรมดีเด่น เช่น อาหาร ท่องเที่ยว รถยนต์ แล้วอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสามารถเข้าไปช่วยส่งเสริมหรือต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และจะมองถึงเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) ออกแบบผลิตภัณฑ์สมัยใหม่ที่มองเรื่องของความยั่งยืน ใช้แล้วสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม . – สำนักข่าวไทย