กรุงเทพฯ 3 พ.ค. – ปตท. แจงใช้ก๊าซผลิตปิโตรเคมีเพียง 20% สร้างมูลค่าเพิ่ม 10-25 เท่า
นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีการพาดพิงการดำเนินธุรกิจก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ที่จำหน่ายให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในราคาที่ถูกกว่าโรงไฟฟ้าเป็นสาเหตุให้ค่าไฟฟ้าแพง ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า การจัดสรรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นสัดส่วนเพียง 20% ใช้ในภาคอุตสาหกรรม, ภาคขนส่งและครัวเรือนประมาณ 30% ส่วนนี้ก็เป็นการผลิตทั้งแอลพีจี แอลเอ็นจี และก๊าซอุตสาหกรรม ส่วนที่เหลือ 50% ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปริมาณความต้องการใช้ก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณการผลิตก๊าซในอ่าวไทยที่ดำเนินการผลิตและนำมาใช้กว่า 40 ปี ปริมาณสำรอง และปริมาณการผลิตลดลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จำเป็นต้องมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากแหล่งต่างๆ ทั่วโลกเข้ามาใช้
นอกจากนี้ราคาก๊าซในอ่าวไทยที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและวัตถุดิบของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ราคาไม่แตกต่าง ใช้ต้นทุนราคาเนื้อก๊าซเดียวกัน ส่วนที่ต้องจัดหาเชื้อเพลิงเพิ่มเติมเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า หรือวัตถุดิบเพิ่มเติมในแต่ละผลิตภัณฑ์จะเป็นไปตามปัจจัยสถานการณ์ตลาดพลังงานโลก และตลาดของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งราคานำเข้า ขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตลาดโลก
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นอุตสาหกรรมหลักในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นการวางนโยบายของภาครัฐ ในการใช้ก๊าซฯ เพื่อเศรษฐกิจของประเทศ ตั้งแต่ในอดีตยุคเริ่มพัฒนามาบตาพุด
โดยกลุ่ม ปตท. ได้ร่วมมือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับก๊าซฯ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทนการนำไปเผาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ซึ่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก่อให้เกิดการจ้างงาน ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน โดยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 10-25 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 700,000 ล้านบาทต่อปี
ซึ่งที่ผ่านมา ปตท. ร่วมลดภาระของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงวิกฤติโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ ได้ร่วมแก้ไขและบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งรองรับความต้องการของประเทศทั้งในภาคประชาชน การขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เป็นวงเงินกว่า 20,000 ล้านบาท ในช่วงปี 63-65 เช่น ตรึงราคา NGV ช่วยเหลือราคา LPG สนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมัน และการขยายเครดิตเทอมแก่ กฟผ. เพื่อลดภาระค่า FT เป็นต้น โดย ปตท. ให้ความสำคัญในการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนอย่างสมดุล .-สำนักข่าวไทย