เปิดไทม์ไลน์พฤติกรรมคดี “แม่ปุ๊ก” วางยาลูกหวังเงินบริจาค

กทม. 24 พ.ค. – สำนักข่าวไทยลำดับเหตุการณ์ในคดี “แม่ปุ๊ก” วางยาลูกหวังเงินบริจาค ซึ่งตำรวจกองปราบปรามแถลงว่า “น้องอมยิ้ม” และ “น้องอิ่มบุญ” ไม่ได้ป่วยเป็นโรคประหลาด “เรนินโนม่าห์” และไม่ได้เกิดขึ้นจากพันธุกรรม รวมถึงตำรวจได้หลักฐานเป็นสารเคมีต้องสงสัยที่กำลังพิสูจน์ทราบ เช่นเดียวกับยอดเงินบริจาคไม่ได้สอดคล้องกับค่ารักษาอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้จากข้อมูลทั้งหมดพบว่าเรื่องเกิดขึ้นมาจากผู้หญิง 2 คนที่รู้จักกันผ่านทางโซเชียล โดยคนหนึ่งไม่ต้องการเลี้ยงลูกแท้ๆ จึงได้ยกลูกให้คนอื่นไปเลี้ยง แต่เมื่อนำมาเลี้ยงแล้วกลับกลายเป็นว่าเสียชีวิตลง


ตำรวจกองปราบฯ แถลงยืนยันว่า “น้องอมยิ้ม” และ “น้องอิ่มบุญ” ไม่ได้เป็นโรคทางพันธุกรรมใดๆ ตามที่ “แม่ปุ๊ก” นำมาอ้างเพื่อขอรับบริจาคความช่วยเหลือจนได้เงินไป 20 ล้าน จากการตรวจสอบบัญชีทางการเงินไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล


จากการรวบรวมหลักฐานต่างๆ พบข้อมูลทางการแพทย์ ยืนยันว่าโรคประหลาดที่ “แม่ปุ๊ก” อ้างว่าลูกทั้งสองคนป่วยนั้นไม่เป็นความจริง เด็กไม่ได้ป่วยจากโรคพันธุกรรมตามที่ถูกกล่าวอ้าง อีกทั้งการเจ็บป่วยของเด็กซึ่งมีร่องรอยแผลไหม้ที่ปาก ชัดเจนว่าเป็นการรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทาน และในวันจับกุมผู้ต้องหา ได้ตรวจค้นบ้านที่ย่านดอนเมือง กระทั่งพบสารเคมีเป็นของเหลวต้องสงสัยบางอย่าง และกำลังตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นสารออกฤทธิ์ตรงกับที่แพทย์ให้ข้อมูลหรือไม่ และหากมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่ามีบุคคลอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องอาจต้องถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม ส่วนข้อมูลที่ผู้ต้องหาเคยเรียนเภสัชศาสตร์จะเกี่ยวกับการนำสารเคมีมาใช้หรือไม่นั้น ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญในการสืบสวน พร้อมยืนยันว่ายอดเงินบริจาคไม่ได้สอดคล้องกับยอดค่ารักษาเด็ก แต่ต้องตรวจสอบว่ามีการใช้สิทธิ์เบิกประกันอย่างไรหรือไม่


พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม กล่าวว่า กรณีแม่ของ “น้องอมยิ้ม” ยกลูกให้ “แม่ปุ๊ก” รับไปดูแลเพราะเจ้าตัวไม่พร้อมมีบุตร อีกทั้งพบว่ารู้จักกันผ่านโซเชียล เท่านั้น “แม่ปุ๊ก” อ้างว่าจบเภสัชศาสตร์จึงเชื่อว่าเด็กจะมีอนาคตที่ดีกว่า จึงฝากแจ้งเตือนกลุ่มแม่วัยใสที่มีบุตรไม่พร้อม อย่ายกลูกให้กับคนอื่นไปเลี้ยง เพราะอาจกลายเป็นปัญหาสังคมที่ซับซ้อน และย้ำว่าหน่วยงานรัฐพร้อมช่วยเหลืออยู่แล้ว

คดีนี้เริ่มขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2558 หลัง “แม่ปุ๊ก” รับ “ด.ญ.อมยิ้ม” มาดูแลจากแม่ที่แท้จริงชื่อ “น.ส.เอม” ที่รู้จักผ่านสังคมออนไลน์ และ “น.ส.เอม” ยกลูกให้ดูแลเพราะไม่พร้อม ประกอบกับอีกฝ่ายอ้างว่าจบเภสัชกร จึงเชื่อว่าจะมีอนาคตที่ดี

ต่อมาในเดือนกันยายน 2560 “แม่ปุ๊ก” ได้แจ้งเกิด “ด.ช.อิ่มบุญ” ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งว่า “ด.ช.อิ่มบุญ” คลอดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2560 แต่ไม่แจ้งชื่อพ่อเด็ก จากนั้นระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2560 – กันยายน 2561 “แม่ปุ๊ก” เลี้ยงดูทั้งสองคน และโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ลักษณะที่ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าเด็กทั้งสองเป็นลูกที่แท้จริง และเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว 

ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2561  “แม่ปุ๊ก” หลอกให้ “น.ส.เอม” ซึ่งเป็นแม่ที่แท้จริงของ “ด.ญ.อมยิ้ม” เปิดบัญชีธนาคารและส่งสมุดบัญชี บัตร ATM พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนมาให้ โดยอ้างว่าจะนำไปทำประกันสุขภาพให้กับ “ด.ญ.อมยิ้ม” แต่บัญชีดังกล่าวถูกนำไปรับบริจาค  อีกทั้งมีข้อมูลว่านำข้อมูลต่างๆ ไปเปิดบัญชีเพิ่มเติมอีก 2 บัญชี รวมเป็น 3 บัญชี

จากนั้นเดือนพฤศจิกายน 2561 “แม่ปุ๊ก” โพสต์อ้างว่า “ด.ญ.อมยิ้ม” ป่วยด้วยโรคหายาก พร้อมเปิดรับบริจาค-ขายสินค้าผ่านบัญชี “น.ส.เอม” อีกทั้งพบว่า “แม่ปุ๊ก” แสดงตนให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็น “น.ส.เอม” ผ่านชื่อและนามสกุลจริง จนมีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก จนกระทั่งในสิงหาคม 2562 “ด.ญ.อมยิ้ม” เสียชีวิตลง

ผ่านไปถึงเดือนมกราคม 2563 “แม่ปุ๊ก” โพสต์อ้างอีกว่า “ด.ช.อิ่มบุญ” ลูกชายคนเล็กป่วย อาเจียนเป็นเลือด ต้องเข้า รพ. ทำให้มีผู้หลงเชื่อโอนเงินบริจาค รวมถึงสั่งซื้อสินค้าเพื่อช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลอีกทางหนึ่ง แต่ทว่าผู้เสียหายจำนวนมากไม่ได้รับสินค้า ก่อนเข้าแจ้งความเอาผิด “แม่ปุ๊ก” โดยใช้ชื่อเจ้าของบัญชีธนาคารไปแจ้งความ ซึ่งก็คือชื่อของ “น.ส.เอม” กระทั่ง “น.ส.เอม” ถูกหมายเรียกจากตำรวจและชี้แจงว่าบัญชีดังกล่าวถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด และหลังจากนั้นเป็นต้นมาตำรวจกองปราบได้ขยายผลจนพบว่า “แม่ปุ๊ก” มีพฤติกรรมตามที่ปรากฏ ก่อนขอศาลอนุมัติหมายจับและเข้าจับกุมตัวมาสอบสวนดำเนินคดี

สำหรับ 5 ข้อกล่าวหาที่ถูกดำเนินคดียังเป็นข้อหาเดิม ไม่ได้มีการแจ้งเพิ่ม ประกอบด้วย รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และฉ้อโกงประชาชน

แม่แท้ๆ ของ “ด.ญ.อมยิ้ม” ล่องหน หลังตกเป็นข่าวดัง

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยลงพื้นที่ไปบ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่หมู่ 10 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งเป็นบ้านของ “น.ส.เอม” แม่แท้ๆ ของ “ด.ญ.อมยิ้ม” เบื้องต้นพบว่าพักอาศัยอยู่กับแฟนหนุ่ม 2 คน เป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น และมีรถจักรยานยนต์จอดอยู่ 3 คัน แต่ไม่พบผู้พักอาศัย ทราบจากเพื่อนบ้านว่าตั้งแต่มีข่าวปรากฏว่า “น.ส.เอม” เป็นแม่แท้ๆ ของ “ด.ญ.อมยิ้ม” ที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ประกอบกับเมื่อช่วงเย็นวานนี้ (23 พ.ค.)  มีนักข่าวจากสำนักหนึ่งเข้าไปขอสัมภาษณ์ จึงทำให้ “น.ส.เอม” และแฟนหนุ่มรีบปิดล็อกบ้าน ขับรถเก๋งออกจากบ้านและยังไม่กลับมาอีกเลย

จากการสอบถามเพื่อนบ้านทราบว่า ทั้งคู่เป็นพนักงานบริษัทเอกชนในตลาดปากน้ำโพ แต่ทั้งคู่ไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านมากนัก เพราะทั้งคู่ต่างทำงานจนมืดค่ำ และส่วนใหญ่มักจะอยู่แต่ในบ้าน อย่างไรก็ตาม เคยเห็น “น.ส.เอม” ตั้งครรภ์มานานหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นเด็ก จึงสงสัยว่าลูกของ “น.ส.เอม” ไปไหน แต่ในใจคิดแต่ว่าญาติพี่น้องน่าจะช่วยเลี้ยงมากกว่า. – สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบร่างพลทหารรัวยิงชาวบ้านแล้ว คาดจบชีวิตตัวเองในป่า

15 ส.ค.- พบร่างพลทหารที่ก่อเหตุยิงชาวบ้านแล้ว คาดใช้อาวุธปืนจบชีวิตตัวเอง ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร อยู่ระหว่างเคลียร์พื้นที่ นำร่างผู้เสียชีวิตออกมา เมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. พบร่างพลทหารที่ก่อเหตุยิงชาวบ้านแล้ว คาดใช้อาวุธปืนจบชีวิตตัวเอง ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร ซึ่งเป็นป่าติดกับคลองส่งน้ำ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเคลียร์พื้นที่ นำร่างผู้เสียชีวิตออกมาส่งพิสูจน์ทราบต่อไป ด้านครอบครัวที่มาเฝ้ารอ ต่างเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น – สำนักข่าวไทย

ทบ.แจงเหตุทหารรัวยิงชาวบ้านกาบเชิง เจ็บ 2 ยังคุมตัวไม่ได้

15 ส.ค.- กองทัพบกแจงเหตุทหารหนีออกจากหน่วยพร้อมอาวุธปืน รัวยิงกลางดึก ชาวบ้านกาบเชิง เจ็บ 2 ราย จนท.เร่งล่า ยังไม่พบตัว หากประชาชนพบเห็นรีบแจ้งทันที กองทัพบกชี้แจงเหตุการณ์ใช้อาวุธปืนในพื้นที่อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 00.45 น. กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 1623 ได้ยินเสียงปืนดังเป็นชุด จำนวน 10 นัด บริเวณถนนข้างวัดบ้านเขื่อนแก้ว อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ต่อมาเวลา 00.54 น. ได้ยินเสียงปืนเพิ่มอีก 2 นัด จากการตรวจสอบกำลังพลและอาวุธประจำกาย พบว่า พลทหารรัฐภูมิ เทพศิริ สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 1623 ได้ออกจากที่ตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมอาวุธปืนเล็กยาวและกระสุนจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย ได้แก่ ผู้บาดเจ็บทั้งสองรายได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและส่งโรงพยาบาลกาบเชิง ก่อนส่งต่อรักษาตามความเหมาะสม โดยขณะนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจร่วมกับกำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 1623 ได้ตรวจสอบพื้นที่และสอบถามพยาน เบื้องต้นคาดว่าพลทหารดังกล่าวอาจเป็นผู้ก่อเหตุ […]

แจ้งจับ “ภูมิธรรม” ปล่อยกัมพูชารุกราน ทำไทยเสียเปรียบ

ขอนแก่น 15 ส.ค. – องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาคพลเมืองจังหวัดขอนแก่น แจ้งความเอาผิด “ภูมิธรรม” รักษาการนายกฯ ไม่ทำหน้าที่ตัวเอง ปล่อยกัมพูชารุกรานไทย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันภาคพลเมืองจังหวัดขอนแก่น เข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อเอาผิด นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในข้อหาหรือฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.119, ม.120, ม.124 ม.157 และมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง นายตุลย์ ประเสริฐศิลป์ ประธานองค์กรต่อต้านคอรัปชั่นภาคพลเมืองจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า การมาร้องทุกข์กล่าวโทษครั้งนี้ ด้วยเรื่องเอกราชและอธิปไตยของชาติเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด แต่รักษาการนายกฯ ไม่ได้ทำหน้าที่ตัวเอง โดยปล่อยปละละเลยทำให้ต่างชาติรุกรานประเทศไทย ต้องปกป้องรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติให้มั่นคง แต่ที่ทหารขาขาด บาดเจ็บ ประชาชนล้มตายทรัพย์สินเสียหาย คือ ความร้ายแรงของของผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีต้องทำและต้องปกป้องให้ได้ แต่ไม่มี มีแต่ไปเข้าข้างศัตรูโดยเฉพาะกัมพูชา เป็นโทษร้ายแรงมาก.-สำนักข่าวไทย

“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท

รัฐสภา 15 ส.ค.-“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท ตั้งคำถามหลายรัฐวิสาหกิจมีผลกำไรดี จะมาตั้งของบอีกทำไม นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในเรื่องของรัฐวิสาหกิจ ว่า ในเอกสารงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่าย มาตรา 29 มีรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งของบประมาณรวมกันทั้งสิ้น 79,298 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 1.43 แสนล้านบาท ซึ่งในรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งที่ของบประมาณมาตนไม่ค่อยติดใจ เพราะมีรัฐวิสาหกิจจำนวนหนึ่งไม่มีรายได้ อีกส่วนเป็นรัฐวิสาหกิจมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ บางรัฐวิสาหกิจมีหนี้สินจำนวนมาก เช่น ขสมก. การรถไฟแห่งประเทศไทย นายวีระ ฝากไปถึงคนที่ต้องจัดการรัฐวิสาหกิจว่า รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหารัฐบาลต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดว่า รัฐวิสาหกิจเหล่านั้นคงอยู่ต่อไปในสภาพแบบนั้น หรือ จะดำเนินการแปรรูปให้เอกชนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดภาระการคลังในอนาคตอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน สำหรับกรณี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการ โดยที่รัฐบาลยังถือหุ้นใหญ่อยู่ประมาณ 40% แต่ไม่มีสถานะภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป […]

ข่าวแนะนำ

ทุ่นระเบิดใหม่ตอกย้ำกัมพูชาละเมิดกติกาสากล

ศรีสะเกษ 16 ส.ค. – วันนี้ รมว.ต่างประเทศ นำคณะทูตภาคีอนุสัญญาออตตาวา ลงพื้นที่ดูปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด บนภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมเรียกร้องให้ตัดงบช่วยเหลือกัมพูชา หลังใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ผู้บริจาค ขณะที่เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ยืนยันเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่เพิ่งพบช่วงเหตุปะทะล่าสุด.-สำนักข่าวไทย

ผลถก RBC กัมพูชาเมินกู้ทุ่นระเบิด-ปราบสแกมเมอร์

ตราด 16 ส.ค. – กัมพูชายังไม่ให้ความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด หลังฝ่ายไทยผลักดันในเวที “RBC ไทย-กัมพูชา” พื้นที่ชายแดนจันทบุรี-ตราด พร้อมการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ แขวนไว้หารือในการประชุมครั้งต่อไป พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ รองโฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า วันนี้ (16 สิงหาคม 2568) พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด และพลตรี อุย เฮียง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 3 ของกองทัพบกกัมพูชา ตลอดจนคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคของทั้งสองฝ่าย จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ (Regional Border Committee) หรือ RBC ณ ประเทศไทย ที่บ้านทะเลภูรีสอร์ท อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เพื่อร่วมกันหารือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และการดำเนินชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศด้วยสันติวิธี โดยได้ลงนามใน “บันทึกความตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) สมัยวิสามัญ ระหว่างกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ราชอาณาจักรไทย กับภูมิภาคที่ 3 […]

วัดเครือวัลย์ ตั้งโต๊ะแจงดำเนินคดีอดีตไวยาวัจกร ยักยอกเงินวัด 56 ล้านบาท

กทม. 16 ส.ค.-ไวยาวัจกรฝ่ายกฎหมายวัดเครือวัลย์ ตั้งโต๊ะชี้แจงการดำเนินคดีกับอดีตไวยาวัจกร ยักยอกเงินวัด 56 ล้านบาท ตรวจสอบประวัติย้อนหลัง 10 ปี พบปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาส 240 ครั้ง ด้านเจ้าอาวาสยอมรับเสียใจ ผิดหวังที่ไว้ใจคนใกล้ตัว ไวยาวัจกรวัดฝ่ายกฎหมาย ตั้งโต๊ะชี้แจง กรณีที่มีบุคคลภายในวัดปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร ไปถอนเงินออกจากบัญชีวัดกว่า 240 ครั้ง ยักยอกเงินกว่า 56 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ปี 67 ที่ผ่านมา ในส่วนการดำเนินการขณะนี้แบ่งเป็น 3 คดี คดีแรก พบการกระทำความผิดคือเมื่อเดือนเมษายน 2567 ทางวัดได้รับบริจาคจากกองทัพเรือเป็นแคชเชียร์เช็ค 1.5 ล้านบาท ลงวันที่ 10 เมษายน 2567 โดยในแคชเชียร์เช็คระบุว่ามอบให้ทางวัด จึงต้องเอาเข้าบัญชีวัด ทางเจ้าอาวาสจึงมีการมอบให้นายกฤษณ์ ที่เป็นไวยาวัจกรวัดในตอนนั้น เอาแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินและเอาเข้ายังบัญชีของวัด ต่อมาทางเจ้าอาวาสได้ทวงถามไปยังนายกฤษณ์ เพราะในขณะนั้นจำเป็นจะต้องบูรณะศาสนสถาน แต่นายกฤษณ์ อ้างว่าไม่ว่าง และได้มอบหมายให้นายชัยณรงค์ ซึ่งเป็นผู้ช่วยไวยาวัจกรในตอนนั้นนำเงินไปเข้าธนาคาร ทางเจ้าอาวาสเลยมีการติดต่อไปยังนายชัยณรงค์ เพื่อทวงถามเรื่องเงิน แต่ก็บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด […]

“มาริษ” นำคณะทูตดูการเก็บกู้ทุ่นระเบิดบนภูมะเขือ

ศรีสะเกษ 16 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ นำคณะทูต 33 ประเทศ ดูการเก็บกู้ทุ่นระเบิดบนภูมะเขือ เตรียมพื้นที่บ้านภูมิซรอล หมู่ 13 ที่ถูกกระสุนจรวด BM-21 เสียหายหนัก 2 หลัง ให้คณะทูตแวะตรวจสอบหลังเสร็จสิ้นภารกิจบนภูมะเขือ หลังจากฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในภาพรวมที่โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะทูตประเทศภาคีอนุสัญญาออตตาวา และตัวแทนองค์กรระหว่างประเทศ รวม 33 ประเทศ ขึ้นไปสำรวจพื้นที่และดูการเก็บกู้ทุ่นระเบิดบนภูมะเขือ ที่อยู่ใกล้แนวปราสาทพระวิหาร เจ้าหน้าที่ขอความร่วมมือสื่อมวลชนที่ขึ้นภูมะเขือ งดถ่ายภาพติดพื้นที่ทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ระหว่างทางขึ้น ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังเตรียมพื้นที่บ้านภูมิซรอล หมู่ 13 ที่ถูกกระสุนจรวด BM-21 เสียหายหนัก 2 หลัง และเพื่อนบ้านใกล้เคียง ถูกสะเก็ดเสียหายอีก 2 หลัง โดยจุดนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 รายด้วย เพื่อให้คณะทูตแวะตรวจสอบหลังเสร็จสิ้นภารกิจบนภูมะเขือ.-สำนักข่าวไทย