เปิดไทม์ไลน์พฤติกรรมคดี “แม่ปุ๊ก” วางยาลูกหวังเงินบริจาค

กทม. 24 พ.ค. – สำนักข่าวไทยลำดับเหตุการณ์ในคดี “แม่ปุ๊ก” วางยาลูกหวังเงินบริจาค ซึ่งตำรวจกองปราบปรามแถลงว่า “น้องอมยิ้ม” และ “น้องอิ่มบุญ” ไม่ได้ป่วยเป็นโรคประหลาด “เรนินโนม่าห์” และไม่ได้เกิดขึ้นจากพันธุกรรม รวมถึงตำรวจได้หลักฐานเป็นสารเคมีต้องสงสัยที่กำลังพิสูจน์ทราบ เช่นเดียวกับยอดเงินบริจาคไม่ได้สอดคล้องกับค่ารักษาอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้จากข้อมูลทั้งหมดพบว่าเรื่องเกิดขึ้นมาจากผู้หญิง 2 คนที่รู้จักกันผ่านทางโซเชียล โดยคนหนึ่งไม่ต้องการเลี้ยงลูกแท้ๆ จึงได้ยกลูกให้คนอื่นไปเลี้ยง แต่เมื่อนำมาเลี้ยงแล้วกลับกลายเป็นว่าเสียชีวิตลง


ตำรวจกองปราบฯ แถลงยืนยันว่า “น้องอมยิ้ม” และ “น้องอิ่มบุญ” ไม่ได้เป็นโรคทางพันธุกรรมใดๆ ตามที่ “แม่ปุ๊ก” นำมาอ้างเพื่อขอรับบริจาคความช่วยเหลือจนได้เงินไป 20 ล้าน จากการตรวจสอบบัญชีทางการเงินไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล


จากการรวบรวมหลักฐานต่างๆ พบข้อมูลทางการแพทย์ ยืนยันว่าโรคประหลาดที่ “แม่ปุ๊ก” อ้างว่าลูกทั้งสองคนป่วยนั้นไม่เป็นความจริง เด็กไม่ได้ป่วยจากโรคพันธุกรรมตามที่ถูกกล่าวอ้าง อีกทั้งการเจ็บป่วยของเด็กซึ่งมีร่องรอยแผลไหม้ที่ปาก ชัดเจนว่าเป็นการรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทาน และในวันจับกุมผู้ต้องหา ได้ตรวจค้นบ้านที่ย่านดอนเมือง กระทั่งพบสารเคมีเป็นของเหลวต้องสงสัยบางอย่าง และกำลังตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นสารออกฤทธิ์ตรงกับที่แพทย์ให้ข้อมูลหรือไม่ และหากมีพยานหลักฐานยืนยันได้ว่ามีบุคคลอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องอาจต้องถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม ส่วนข้อมูลที่ผู้ต้องหาเคยเรียนเภสัชศาสตร์จะเกี่ยวกับการนำสารเคมีมาใช้หรือไม่นั้น ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญในการสืบสวน พร้อมยืนยันว่ายอดเงินบริจาคไม่ได้สอดคล้องกับยอดค่ารักษาเด็ก แต่ต้องตรวจสอบว่ามีการใช้สิทธิ์เบิกประกันอย่างไรหรือไม่


พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม กล่าวว่า กรณีแม่ของ “น้องอมยิ้ม” ยกลูกให้ “แม่ปุ๊ก” รับไปดูแลเพราะเจ้าตัวไม่พร้อมมีบุตร อีกทั้งพบว่ารู้จักกันผ่านโซเชียล เท่านั้น “แม่ปุ๊ก” อ้างว่าจบเภสัชศาสตร์จึงเชื่อว่าเด็กจะมีอนาคตที่ดีกว่า จึงฝากแจ้งเตือนกลุ่มแม่วัยใสที่มีบุตรไม่พร้อม อย่ายกลูกให้กับคนอื่นไปเลี้ยง เพราะอาจกลายเป็นปัญหาสังคมที่ซับซ้อน และย้ำว่าหน่วยงานรัฐพร้อมช่วยเหลืออยู่แล้ว

คดีนี้เริ่มขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2558 หลัง “แม่ปุ๊ก” รับ “ด.ญ.อมยิ้ม” มาดูแลจากแม่ที่แท้จริงชื่อ “น.ส.เอม” ที่รู้จักผ่านสังคมออนไลน์ และ “น.ส.เอม” ยกลูกให้ดูแลเพราะไม่พร้อม ประกอบกับอีกฝ่ายอ้างว่าจบเภสัชกร จึงเชื่อว่าจะมีอนาคตที่ดี

ต่อมาในเดือนกันยายน 2560 “แม่ปุ๊ก” ได้แจ้งเกิด “ด.ช.อิ่มบุญ” ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งว่า “ด.ช.อิ่มบุญ” คลอดเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2560 แต่ไม่แจ้งชื่อพ่อเด็ก จากนั้นระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2560 – กันยายน 2561 “แม่ปุ๊ก” เลี้ยงดูทั้งสองคน และโพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ลักษณะที่ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าเด็กทั้งสองเป็นลูกที่แท้จริง และเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว 

ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2561  “แม่ปุ๊ก” หลอกให้ “น.ส.เอม” ซึ่งเป็นแม่ที่แท้จริงของ “ด.ญ.อมยิ้ม” เปิดบัญชีธนาคารและส่งสมุดบัญชี บัตร ATM พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนมาให้ โดยอ้างว่าจะนำไปทำประกันสุขภาพให้กับ “ด.ญ.อมยิ้ม” แต่บัญชีดังกล่าวถูกนำไปรับบริจาค  อีกทั้งมีข้อมูลว่านำข้อมูลต่างๆ ไปเปิดบัญชีเพิ่มเติมอีก 2 บัญชี รวมเป็น 3 บัญชี

จากนั้นเดือนพฤศจิกายน 2561 “แม่ปุ๊ก” โพสต์อ้างว่า “ด.ญ.อมยิ้ม” ป่วยด้วยโรคหายาก พร้อมเปิดรับบริจาค-ขายสินค้าผ่านบัญชี “น.ส.เอม” อีกทั้งพบว่า “แม่ปุ๊ก” แสดงตนให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็น “น.ส.เอม” ผ่านชื่อและนามสกุลจริง จนมีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก จนกระทั่งในสิงหาคม 2562 “ด.ญ.อมยิ้ม” เสียชีวิตลง

ผ่านไปถึงเดือนมกราคม 2563 “แม่ปุ๊ก” โพสต์อ้างอีกว่า “ด.ช.อิ่มบุญ” ลูกชายคนเล็กป่วย อาเจียนเป็นเลือด ต้องเข้า รพ. ทำให้มีผู้หลงเชื่อโอนเงินบริจาค รวมถึงสั่งซื้อสินค้าเพื่อช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลอีกทางหนึ่ง แต่ทว่าผู้เสียหายจำนวนมากไม่ได้รับสินค้า ก่อนเข้าแจ้งความเอาผิด “แม่ปุ๊ก” โดยใช้ชื่อเจ้าของบัญชีธนาคารไปแจ้งความ ซึ่งก็คือชื่อของ “น.ส.เอม” กระทั่ง “น.ส.เอม” ถูกหมายเรียกจากตำรวจและชี้แจงว่าบัญชีดังกล่าวถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด และหลังจากนั้นเป็นต้นมาตำรวจกองปราบได้ขยายผลจนพบว่า “แม่ปุ๊ก” มีพฤติกรรมตามที่ปรากฏ ก่อนขอศาลอนุมัติหมายจับและเข้าจับกุมตัวมาสอบสวนดำเนินคดี

สำหรับ 5 ข้อกล่าวหาที่ถูกดำเนินคดียังเป็นข้อหาเดิม ไม่ได้มีการแจ้งเพิ่ม ประกอบด้วย รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และฉ้อโกงประชาชน

แม่แท้ๆ ของ “ด.ญ.อมยิ้ม” ล่องหน หลังตกเป็นข่าวดัง

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยลงพื้นที่ไปบ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่หมู่ 10 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งเป็นบ้านของ “น.ส.เอม” แม่แท้ๆ ของ “ด.ญ.อมยิ้ม” เบื้องต้นพบว่าพักอาศัยอยู่กับแฟนหนุ่ม 2 คน เป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น และมีรถจักรยานยนต์จอดอยู่ 3 คัน แต่ไม่พบผู้พักอาศัย ทราบจากเพื่อนบ้านว่าตั้งแต่มีข่าวปรากฏว่า “น.ส.เอม” เป็นแม่แท้ๆ ของ “ด.ญ.อมยิ้ม” ที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ประกอบกับเมื่อช่วงเย็นวานนี้ (23 พ.ค.)  มีนักข่าวจากสำนักหนึ่งเข้าไปขอสัมภาษณ์ จึงทำให้ “น.ส.เอม” และแฟนหนุ่มรีบปิดล็อกบ้าน ขับรถเก๋งออกจากบ้านและยังไม่กลับมาอีกเลย

จากการสอบถามเพื่อนบ้านทราบว่า ทั้งคู่เป็นพนักงานบริษัทเอกชนในตลาดปากน้ำโพ แต่ทั้งคู่ไม่ค่อยสุงสิงกับคนในหมู่บ้านมากนัก เพราะทั้งคู่ต่างทำงานจนมืดค่ำ และส่วนใหญ่มักจะอยู่แต่ในบ้าน อย่างไรก็ตาม เคยเห็น “น.ส.เอม” ตั้งครรภ์มานานหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นเด็ก จึงสงสัยว่าลูกของ “น.ส.เอม” ไปไหน แต่ในใจคิดแต่ว่าญาติพี่น้องน่าจะช่วยเลี้ยงมากกว่า. – สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สิ้นพระเอกดัง “ไพโรจน์ สังวริบุตร” จากไปอย่างสงบในวัย 72 ปี

3 มิ.ย.- วงการบันเทิงเศร้า… สิ้นพระเอกดัง “เอ๋” ไพโรจน์ สังวริบุตร นักแสดง-ผู้กำกับในตำนาน จากไปอย่างสงบในวัย 72 ปี แฟนคลับร่วมแสดงความอาลัย ข่าวเศร้าช็อกวงการบันเทิง เอ๋-ไพโรจน์ สังวริบุตร เสียชีวิตอย่างสงบ เมื่อเวลา 03.00 น. (3 มิ.ย.68) ที่จังหวัดนครราชสีมา สิริอายุได้ 72 ปี กำหนดสวดพระอภิธรรม ณ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร สำหรับพิธีรดน้ำศพ จะมีขึ้นในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 โดยข้อมูลจากเพจดาราภาพยนตร์ เผยการจากไปของพระเอกรุ่นใหญ่ สร้างความโศกเศร้าให้กับวงการบันเทิงไทยอย่างมาก หากเอ่ยถึงชื่อ “ไพโรจน์ สังวริบุตร” คนไทยหลายรุ่นคงต้องนึกถึงชายหนุ่มร่างโปร่ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม และแววตาทะเล้นที่ปรากฏอยู่บนจอเงินในบท “ตั้ม” จากภาพยนตร์ วัยอลวน อันโด่งดังในยุค 2510–2520 เขาคือพระเอกผู้ก้าวข้ามกาลเวลา จากภาพลักษณ์ของวัยรุ่นสุดแนวในวันนั้น สู่ผู้กำกับภาพยนตร์มากฝีมือในวันนี้ และยังคงยืนหยัดเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ไทย “ไพโรจน์ สังวริบุตร” เกิดเมื่อวันที่ 18 […]

Thai drone illegally enters Cambodian airspace, intercepted by Cambodian troops

กัมพูชาอ้างสกัดโดรนที่ส่งจากฝั่งไทย

พนมเปญ 3 มิ.ย.- สื่อกัมพูชารายงานว่า ทหารกัมพูชาสกัดอากาศยานไร้คนขับหรือโดรนที่อ้างว่าส่งจากฝั่งไทยเข้าไปสอดแนมที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา เว็บไซต์หนังสือพิมพ์แขมร์ไทมส์รายงานวันนี้ว่า กองทัพไทยยังคงละเมิดดินแดนของกัมพูชา โดยล่าสุดได้ส่งโดรนไปบินเหนือพื้นที่แนวหน้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อสอดแนมที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา และถูกกำลังพลกัมพูชาสกัดไว้ได้ แขมร์ไทมส์อ้างรายงานจากชายแดนว่า เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 2 มิถุนายน ทหารกัมพูชาที่ประจำการอยู่บริเวณแนวหน้าในจังหวัดพระวิหารสามารถสกัดโดรนลำหนึ่งที่เข้ามาในน่านฟ้ากัมพูชาเพื่อวัตถุประสงค์ในการสอดแนม ผลการประเมินเบื้องต้นชี้ว่า โดรนลำนี้ถูกส่งโดยกองทัพไทย เพื่อเก็บข้อมูลข่าวกรองเรื่องการประจำการและการเคลื่อนย้ายกำลังพลของกองทัพกัมพูชา.-814.-สำนักข่าวไทย

ล่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้ากลางเมืองขอนแก่น ถอยหนีชนดะ

ขอนแก่น 3 มิ.ย. – ระทึก ผู้ต้องหาถอยรถหนี ชนจยย.สายตำรวจ ขณะล่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้ากลางเมืองขอนแก่น ก่อนจนมุมรถไถลข้ามเลนพลิกตะแคง กล้องวงจรปิดบันทึกภาพรถยนต์สีขาวจอดคุยกับชายคนหนึ่งที่ยืนริมถนนกสิกรทุ่งสร้าง หน้าตลาดจอมพล เขตเทศบาลนครขอนแก่น ทันใดนั้น รถคันดังกล่าวก็ถอยหลังอย่างรวดเร็ว พุ่งชนรถจักรยานยนต์ที่ขี่อยู่ด้านหลังล้ม 2 คัน และพยายามเร่งเครื่องหลบหนีจนไปชนกับรถคันอื่นอย่างแรง แล้วไถลข้ามเลนพลิกตะแคงอยู่ข้างทาง เมื่อเวลา 22.45 น. วานนี้ (2 มิ.ย.) คนขับปีนออกจากหน้าต่าง มีท่าทีขัดขืน แต่สุดท้ายก็ยอมออกมาจากรถ หลังจากนั้นตำรวจพาเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และมีชายอีกคนออกมาจากหน้าเป็นรายที่สอง ตำรวจจึงควบคุมตัวที่ข้างทาง ต่อมา รถกู้ชีพมาถึงที่เกิดเหตุและทำการปฐมพยาบาลทั้งชายสองคนและสายลับที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นเหตุขณะล่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้า ภายในรถมีบุหรี่ไฟฟ้าวางอยู่ ก่อนจะคุมตัวขึ้นรถกระบะไป สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.อ.พรศักดิ์ งานดี ผู้กำกับการตำรวจสืบสวนจังหวัดขอนแก่น เปิดเผยว่า นายอนุพงษ์ อายุ 35 ปี เป็นคนขายบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนนายณัฐพล อายุ 37 ปี เป็นคนขับรถยนต์คันที่เกิดเหตุ มีพฤติกรรมลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านเฟซบุ๊กให้กับลูกค้าทั่วไปที่สั่งซื้อ จึงวางแผนล่อซื้อ […]

ทรงพระเจริญ

ชาวสงขลารวมใจภักดิ์ รักสมเด็จพระราชินี ร่วมแปรอักษร แสดงพลังความจงรักภักดี

สงขลา 2 มิ.ย. – จังหวัดสงขลา จัดกิจกรรม “ชาวสงขลารวมใจภักดิ์ รักสมเด็จพระราชินี” ประชาชนกว่า 5,000 คน ร่วมแปรอักษร “ทรงพระเจริญ คนสงขลารักพระราชินีฯ” แสดงพลังความจงรักภักดีอย่างยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2568 วันนี้ 2 มิถุนายน 2568 เวลา 16.30 น. ที่สนามกีฬาติณสูลานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยนางปวีณ์ริศา เกิดสม ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดสงขลา นำคณะรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนชาวสงขลากว่า 5,000 คน ร่วมกิจกรรม “ชาวสงขลารวมใจภักดิ์ รักสมเด็จพระราชินี” เพื่อแสดงความจงรักภักดีและเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน […]

ข่าวแนะนำ

นายกฯ ย้ำรัฐบาลยึดหลักอธิปไตย-ประโยชน์สูงสุดของประเทศ

กรุงเทพฯ 4 มิ.ย. – นายกฯ ย้ำรัฐบาลไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันหลักอธิปไตยและประโยชน์สูงสุดของประเทศ วันนี้ (4 มิ.ย.68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลยืนยันหลักอธิปไตยและประโยชน์สูงสุดของประเทศ “ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และได้บูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานความมั่นคง เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน” นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เรารวบรวมข้อมูลจากทั้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ภาพแผนที่จากเทคโนโลยีและการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนพิจารณาอย่างเคร่งครัดภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยมีเป้าหมายคือการปกป้องอธิปไตยของชาติและผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ หากมีความคืบหน้า รัฐบาลจะมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดเป็นระยะ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้านต่อไป.-314-สำนักข่าวไทย

ม็อบรถบัส 2 ชั้น ขู่บุกกรุง ค้านคำสั่งห้ามใช้เส้นทางเขาพับผ้า

ตรัง 4 มิ.ย. – ม็อบรถบัส 2 ชั้น ชุมนุมคัดค้านคำสั่งห้ามใช้เส้นทางเขาพับผ้า อ้างไม่ชอบ กม.-เส้นทางไม่เข้าหลักเกณฑ์กำหนด ขู่เคลื่อนขบวนพันคันบุกกรุง หากไม่ได้รับแก้ไข บริเวณอันดามันเกตเวย์ บนเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 เขาพับผ้า เครือข่ายผู้ประกอบการรถบัส 2 ชั้น ในนามสมาคมรถโดยสารสองชั้นไทย กว่า 100 คัน พร้อมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ราว 200 คน ชุมนุมคัดค้านคำสั่ง กรมการขนส่งทางบกที่ห้ามรถบัส 2 ชั้นใช้เส้นทาง 7 แห่งทั่วประเทศ การชุมนุมครั้งนี้ เป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการจากทั้งภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออก เพื่อประท้วงคำสั่งที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.68 สำหรับรถทัวร์ และวันที่ 1 มิ.ย.68 สำหรับรถประจำทาง โดยชูป้ายข้อความต่างๆ รวมถึงการเรียกร้องให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและอธิบดีกรมการขนส่งทางบกลาออกจากตำแหน่ง นายสุริยะ แกล้วทนงค์ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสารสองชั้นไทย เปิดเผยว่า การสำรวจเส้นทางเขาพับผ้า พบว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ต้องประกาศห้าม เนื่องจากมีความลาดชัน 8% […]

หัวโจกปล้นบุหรี่ไฟฟ้า กลับลำ ยันไม่มีคนในชี้เป้า

กทม. 4 มิ.ย. – คุมตัว “แบงค์” หัวโจกปล้นบุหรี่ไฟฟ้าของกลางกรมศุลฯ ทำแผน เจ้าตัวกลับลำอ้างลงมือครั้งแรก ไม่มีใครชี้เป้า ปัดเจตนาชน รปภ.ดับ กลางดึกที่ผ่านมาตำรวจ สน.ท่าเรือ พร้อมชุดปฏิบัติการพิเศษ กว่า 20 นาย ควบคุม 5 ผู้ต้องหาแก๊งปล้นบุหรี่ไฟฟ้า ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ บริเวณ ตู้คอนเทนเนอร์ ในโกดังสเตเตียม ถนนท่าเรือ 1 เขตคลองเตย จากนั้นในช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คนไปฝากขังผัดแรกที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ส่วนนายแบงค์ หัวโจก พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพอย่างเงียบๆ เพราะเกรงว่านายแบงค์จะถูกญาติ รภป. ผู้เสียชีวิต รุมประชาทัณฑ์ ภายหลังจากทำแผนประกอบคำรับสารภาพเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานสอบสวนได้คุมตัวนายแบงค์กลับมา คุมขังที่ สน.ท่าเรือ เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม ผู้สื่อข่าวได้พยายามซักถามว่านายแบงค์ก่อเหตุมาแล้วกี่ครั้ง นายแบงค์ อ้างว่าก่อเหตุขโมยบุหรี่ไฟฟ้ามาเพียงครั้งเดียว ส่วนนำไปขายใครนั้น นายแบงค์ไม่ตอบ และยืนยันว่าการก่อเหตุนี้ ไม่มีคนในมาชี้เป้า เพราะบริเวณนั้นใครก็รู้ว่าเป็นพื้นที่เก็บสินค้าที่ต้องการทำลาย พร้อมยกมือไหว้ขอโทษครอบครัว รปภ.ที่เสียชีวิต และยอมรับว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจถอยรถชน […]

“ภูมิธรรม” ลงพื้นที่ชายแดนติดตามสถานการณ์ไทย-กัมพูชา

อุบลราชธานี 4 มิ.ย. – “ภูมิธรรม” ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำกองทัพไม่ขัดแย้งรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลงพื้นที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดกรณีการปะทะกันที่ช่องบก โดยระบุว่า การมาครั้งนี้ตั้งใจมาให้กำลังใจกำลังพลที่อยู่แนวหน้า ซึ่งกำลังเตรียมความพร้อมในการดูแลและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น รวมถึงดูพื้นที่จริง ซึ่งเบื้องต้นพบว่า ข่าวทหารกัมพูชาวางกับระเบิดเป็นของเก่า เวลานี้เรากำลังใช้ทางออกที่โลกอยากเห็น และเรายังไม่ได้เสียอธิปไตยตรงไหนไป สิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละจุด เราอยากให้มันค่อยๆ คลายไป เรากำลังใช้มาตรการทางการทูตเชิงรุก เริ่มต้นจากเล็กไปหาใหญ่ และมาตรการต่างๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้น เราตกลงกันแล้วว่า จะคุยด้วยกันตลอด ไม่ได้มีปัญหาอะไร มันไม่ได้ถึงขั้นนั้น เพราะยังไม่มีอะไร เราคำนึงถึงชีวิตของพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน เราจะใช้กระบวนการสันติวิธีให้ถึงที่สุด ถ้ามีอะไรเกินเลย ฝ่ายที่อยู่แนวหน้าจะต้องแจ้งเรา ซึ่งจะดำเนินการโดยทันทีทันใด ยืนยันกองทัพกับฝ่ายการเมืองไม่มีปัญหากัน .-สำนักข่าวไทย