กทม.19 พ.ค.- ศาลอาญาคดีทุจริตฯเลื่อสอบคำให้การคดี”บรรยิน” กับพวกอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา เหตุจำเลยร่วมที่ 3-6 ขอเวลาตั้งทนายสู้คดี จึงเลื่อนเป็น 22 พ.ค.นี้
วันนี้ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี มีการสอบคำให้การจำเลยจากเรือนจำ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ คดี อุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอดีตเจ้าของสำนวนโอนหุ้น”เสี่ยชูวงษ์”ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ , นายมานัส ทับทิม, นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์, นายชาติชาย เมณฑ์กูล, นายประชาวิทย์ ศรีทองสุข , ด.ต.ธงชัย หรือ สจ.อ๊อด วจีสัจจะ ทั้งหมดภูมิลำเนา จ.นครสวรรค์ เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิด 9 ข้อหา อาทิ ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 289 , ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปถึงแก่ความตาย มาตรา 309,313 ,ร่วมกันกระทำการใด ๆ แก่ศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเพื่ออำพรางคดี ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 150 ทวิ และยังยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ข้อหาที่ 10 ฐานสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน เพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าตนมีสิทธิและแต่งเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิเพื่อกระทำผิดอาญา มาตรา 146 พร้อมทั้งขอให้นับโทษ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของศาลอาญากรุงเทพใต้ คดีปลอมเอกสารโอนหุ้นนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง (ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 20 มี.ค.63 ให้จำคุก 8 ปี ) และคดีฆ่าเสี่ยชูวงษ์ ของศาลอาญาพระโขนง (คดีฆาตกรรมเสี่ยชูวงษ์ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล) กับขอให้ศาลเพิ่มโทษนายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 3 ในอัตราส่วน 1 ใน 3 ด้วย เนื่องจากก่อนคดีนี้จำเลยที่ 3 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งมีโทษจำคุกกำหนด 3 ปี 6 เดือนและปรับ 20,000 บาทฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 537/2558 ของศาลจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งจำเลยที่ 3 พ้นโทษในคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.60 และได้กลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลา 5 ปีนับจากที่พ้นโทษคดีเดิม
ท้ายฟ้อง อัยการโจทก์ ขอคัดค้านการให้ประกันตัวจำเลยทั้ง 6 คนด้วย เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงหากได้รับการปล่อยชั่วคราวเกรงว่าจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น รวมทั้งอาจจะหลบหนี และหากจำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ก็ขอสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ขณะเดียวกันอัยการขอให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งหกสถานหนักด้วย เนื่องจากการกระทำนั้นไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง และเป็นการกระทำที่อุกอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศด้วย
โดยอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 6 คน เมื่อวันที่ 18 พ.ค.63 ที่ผ่านมา ระหว่างที่จำเลยที่ 1-6 ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งถูกคุมขังตั้งแต่ชั้นฝากขังเมื่อวันที่ 25 ก.พ.63 เนื่องจากศาลไม่ได้ให้ประกันตัวเพราะเกรงว่าจะหลบหนี
อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลานัดศาลได้สอบถามจำเลยแล้ว นายณรงค์ศักดิ์ จำเลยที่ 3 แถลงว่ายังไม่มีทนายความและประสงค์จะให้ศาลแต่งตั้งทนายความให้ ส่วนนายชาติชาย , นายประชาวิทย์ หรือตูน , ด.ต.ธงชัย หรือ สจ.อ๊อด จำเลยที่ 4 ,5,6 แถลงว่าติดต่อทนายความไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ลงชื่อในใบแต่งทนายความ โดยจะเสนอใบแต่งทนายความให้ศาลภายในวันที่ 22 พ.ค.นี้
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อวันนี้ จำเลยที่ 3,4,5,6 ยังไม่ได้แต่งตั้งทนายความ จึงยังไม่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาที่จะอ่านและอธิบายคำฟ้องของอัยการ โจทก์ ให้จำเลยทั้งหกฟังเพื่อสอบคำให้การได้ จึงให้เลื่อนนัดไปอ่านและอธิบายการฟ้องเพื่อสอบคำให้การจำเลยที่ 1-6 อีกครั้งในวันที่ 22 พ.ค.นี้ เวลา 09.30 น
ขณะที่ทนายความ พ.ต.ท.บรรยิน อดีต รมช.พาณิชย์ จำเลยที่ 1 , นายมานัส ที่ 2 แถลงขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานภายในวันที่ 22 มิ.ย.นี้นั้น ศาลพิจารณาแล้วก็อนุญาตให้ทนายจำเลยที่ 1-2 ยื่นบัญชีระบุพยานภายในวันดังกล่าว
ส่วนที่ทนายความจำเลยที่ 1- 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีสำหรับการกระทำที่เป็นความผิดคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลนี้ ส่วนความผิดอื่นขอให้ศาลไม่รับฟ้องโดยให้อัยการโจทก์ นำไปฟ้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจนั้น
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้อัยการ โจทก์ ยื่นฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-6 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139 , 140 , 145 , 146 , 199 , 210 , 213 , 289 , 309 , 310 , 313 ซึ่งความผิดตามมาตรา 139 และ 140 นั้นเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลนี้ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตฯ มาตรา 33 แต่เมื่อความผิดฐานอื่นเป็นความผิดหลายกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันกับความผิดที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ศาลจึงได้พิจารณารับฟ้องของอัยการ โจทก์ ไว้แล้วเมื่อวันที่ 18 พ.ค.63 จึงเป็นกรณีที่ศาลได้รับคดีทุกข้อหาซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันและเกี่ยวเนื่องกันไว้พิจารณา โดยคำนึงถึงความสะดวกและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นสำคัญแล้ว จึงไม่ต้องวินิจฉัยตามคำแถลงของทนายจำเลยที่ 1-2 ดังกล่าวอีก.-สำนักข่าวไทย
