มุกดาหาร 18 พ.ค.-ตำรวจประกบ 7 ผู้ต้องสงสัยเอี่ยวคดี “น้องชมพู่” เสียชีวิตปริศนาบนภูเขาพื้นที่ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร หลังผลชันสูตรพลิกศพพบบาดแผลที่อวัยวะเพศ และร่องรอยทำร้ายร่างกาย
นายไชย์พล วิภา ลุงของ “น้องชมพู่” อายุ 3 ขวบ ซึ่งถูกพบเป็นศพห่างจากบ้าน 3 กิโลเมตร ในสภาพไม่สวมเสื้อผ้าอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง เข้าติดต่อขอรับศพหลานสาวกลับไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด หลังจากครอบครัวได้เลื่อนพิธีฌาปนกิจและส่งร่าง “น้องชมพู่” ให้สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจชันสูตรพลิกศพอีกครั้ง เพราะผลชันสูตรก่อนหน้านี้ 2 ครั้งจากโรงพยาบาลดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ไม่พบร่องรอยการถูกทำร้ายหรือล่วงละเมิดทางเพศ
พันตำรวจเอกวาที อัศวุตมางกุร รองโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ยืนยันผลชันสูตรครั้งล่าสุดว่าพบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายและบาดแผลที่อวัยวะเพศของน้องชมพู่ แพทย์จึงเก็บตัวอย่างของเหลวในช่องคลอดไปตรวจหาอสุจิ เพราะระยะเวลาการเสียชีวิตยังไม่นาน ซึ่ง “น้องชมพู่” จะถูกข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่นั้นต้องรอผลตรวจจากห้องปฏิบัติการ ส่วนบาดแผลที่พบไม่สามารถให้รายละเอียดได้ว่าเป็นบริเวณใดของร่างกาย โดยแพทย์ได้เก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจหาสารเสพติดและสารพิษเพื่อดูว่ามีการวางยาหรือไม่ นอกจากนี้ยังเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง เนื่องจากชิ้นเนื้อจะสามารถระบุได้ว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นเกิดจากการถูกทุบตี, กดทับ หรือมีการลากร่างหรือไม่ คาดจะรู้ผลในเวลา 30 วัน อย่างไรก็ตามการชันสูตรวันนี้จึงยังไม่สรุปสาเหตุการตายที่แท้จริงได้
ลุงของ “น้องชมพู่” บอกว่า พอใจผลการชันสูตรในครั้งนี้ เพราะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการเสียชีวิต ส่วนเรื่องคดีอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ ส่วนตัวไม่อยากให้ผู้ก่อเหตุเป็นคนในชุมชน เพราะเป็นสิ่งที่น่ากังวล เนื่องจากจนถึงขณะนี้ยังไม่พบตัวผู้กระทำความผิด
ด้านพันตำรวจโทสุริยา นภกรีกำแหง สารวัตใหญ่ สภ.กกตูม เปิดเผยทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่าได้สั่งประกบตัวผู้ต้องสงสัย 7 คน ที่อาจเข้าไปพัวพันในคดี พร้อมกันนี้ได้เก็บตัวอย่าง DNA ไว้หมดแล้ว เหลือเพียงรอการตรวจพิสูจน์หลักฐานและเทียบเคียง DNA แฝง หากตรงกับผู้ต้องสงสัยรายใดก็สามารถจับกุมได้ทันที
ผู้สื่อข่าว รายงานว่าสำหรับผู้ต้องสงสัย 7 คน พบบางคนมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติด และบางคนมีอาการทางประสาท ซึ่งได้นำตัวผู้ต้องสงสัยส่งศาลดำเนินคดียาเสพติดไปบางส่วนแล้ว.-สำนักข่าวไทย