ก.คลัง 14 พ.ค. – “สมคิด” เร่งคลังออกมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการขนาดเล็กเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ด้านรัฐมนตรีคลังคาดใช้งบกองทุนไม่เกิน 1 แสนล้าน พร้อมโยน ครม.ตัดสินใจแก้วิกฤติการบินไทย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมทบทวนภาวะเศรษฐกิจ ว่า ได้กำชับให้กระทรวงการคลังเร่งวางแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และบริษัทที่ยังไม่ปลดพนักงานให้เสร็จโดยเร็ว และให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้จาก พ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท เร่งทำความเข้าใจกับหน่วยงานอื่น ๆ ในการเข้ามาขอใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก.ดังกล่าว เพื่อจัดทำโครงการจ้างงานในชุมชนช่วยเหลือผู้ที่ถูกเลิกจ้างให้มีงานและรายได้
ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเร่งวางแนวทางกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เช่น วิสาหกิจชุมชน คาดว่าจะใช้เงินกองทุนไม่เกิน 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้งบจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 400,000 ล้านบาท ขณะที่จำนวนผู้ที่คาดว่าจะเข้ารับการช่วยเหลือผ่านกองทุนดังกล่าวอาจต้องใช้วิธีการลงพื้นที่สำรวจ เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ทำให้สถาบันการเงินไม่มีฐานข้อมูล
นอกจากนี้ จะเร่งพิจารณาแนวทางและเงื่อนไขเพื่อช่วยเหลือบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ยังไม่มีการปลดพนักงาน รวมถึงบริษัทที่เกี่ยวกับสายการบินและธุรกิจท่องเที่ยวด้วย ซึ่งจะเร่งพิจารณาแนวทางให้เสร็จก่อนวันอังคารหน้า
ส่วนกรณีเจ้าสัวซีพีเสนอให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 3 ล้านล้านบาทนั้น มองว่าขณะนี้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ยังเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหา
ขณะที่การประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าจะมีการแถลงข่าวร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) วันจันทร์หน้า โดยยอมรับว่าจีดีพีปีนี้ติดลบแน่นอน ส่วนไตรมาส 3 และ 4 ยังต้องรอดูว่าจะมีปัจจัยบวก เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดีขึ้น รวมทั้งสัญญาณการค้าขายและการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นหรือไม่
ส่วนกรณีการนำการบินไทยเข้าสู่แผนล้มละลายนั้น ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหา แต่สุดท้ายจะใช้แนวทางใดในการแก้วิกฤติการบินไทยจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ขณะที่กระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐนั้น นายอุตตม ยืนยันว่ายังไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และทุกอย่างยังเหมือนเดิม โดยยังทำหน้าที่ตามปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รวมถึงไม่ได้รับแรงกดดันจากทางพรรคการเมืองให้ลาออกจากตำแหน่งแต่อย่างใด ดังนั้น จึงมั่นใจว่ากระแสที่ออกมาจะไม่กระทบต่อการบริหารเศรษฐกิจอย่างแน่นอน .- สำนักข่าวไทย