ระยอง 7 พ.ค.- ตำรวจตามรวบอีก 3 ผู้ต้องหาแก๊งยกตู้เอทีเอ็มธนาคารออมสิน เมื่อ 13 มี.ค. ย่านเขาชะเมา-ระยอง คุมตัวทำแผนทั้งหมด 5 ราย สารภาพหลังแบ่งเงินของกลาง 300,000 บาท ฝังซากตู้ทิ้งไว้ในสวนที่จันทบุรี ส่วนเยาวชน 17 ปี ถูกกันไว้เป็นพยาน
จากเหตุการณ์ตู้เอทีเอ็มธนาคารออมสิน ริมถนนสาย เขาดิน – น้ำเป็น ต.น้ำเป็น อ.เขาชะเมา จ.ระยอง ถูกกลุ่มมิจฉาชีพยกไปทั้งตู้พร้อมเงินสดนับแสนบาท เมื่อกลางดึกวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุด (7 พ.ค.) พ.ต.อ.วราวุธ เจริญชนม์ รอง ผบก.สส.ภ.2 พ.ต.อ.วรวุฒิ ชัยเจริญ รอง ผบก.ภ.จว.ระยอง พ.ต.ต.พงศ์พล สินจังหรีด สว.สภ.น้ำเป็น พร้อม ชุดสืบสวน นำหมายจับศาลจังหวัดระยองจับเพิ่มอีก 3 ผู้ต้องหา คือ นายนเรศ คณาพงศ์ อายุ 54 ปี กับนายสมพงษ์ เงินดี อายุ 40 ปี ถูกจับที่บ้านพัก อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ขณะที่นายชวนนท์ ทรัพย์เจริญ อายุ 37 ปี ที่บ้านพัก อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี ส่วนผู้ต้องหาที่ถูกจับได้ก่อนหน้านี้ 2 ราย คือ นายภูวนารถ คณาพงศ์ อายุ 25 ปี และนายนครินทร์ คณาพงศ์ อายุ 29 ปี จากนั้นได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพและไปชี้จุดนำตู้เซฟเอทีเอ็มไปฝังที่สวนผลไม้บ้านเขาวงกต ม.7 ต.เขาวง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของนายชวนนท์
พ.ต.อ.วราวุธ กล่าวว่า คดีนี้มีผู้ร่วมก่อเหตุทั้งหมด 6 คน เป็นเครือญาติกัน 4 คน ซึ่งการจับกุมเจ้าหน้าที่พบเบาะแสจากกล้องวงจรปิดนำไปสู่การตรวจสอบรถกระบะต้องสงสัยของนายนเรศ ที่มีบ้านพักอยู่ในสวนใกล้กับจุดเกิดเหตุ แต่นายนเรศ ให้การปฏิเสธ ประกอบกับหลักฐานขณะนั้นยังไม่แน่นหนาพอ เจ้าหน้าที่จึงปล่อยตัวไปชั่วคราว กระทั่งพบหลักฐานชัดเจนเป็นชิ้นส่วนหน้ากากและแป้นกดจอตู้เอทีเอ็มที่ถูกโจรกรรมไปถูกทิ้งไว้ภายในสวนยางพารา ริมเขาวงกต ม.7 ต.เขาวง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี จึงขยายผลและสอบปากคำนายนิว อายุ 17 ปี ลูกเขยของนายนเรศ ให้การว่านายภูวนารถ คณาพงศ์ และนายชวนนท์ ชักชวนไปดูต้นทาง เจ้าหน้าที่จึงกันตัวนายนิว ไว้เป็นพยาน
พ.ต.อ.วราวุธ กล่าวด้วยว่า ผู้ต้องหาสารภาพว่าใช้แก๊สตัดตู้เซฟและนำเงินออกมาประมาณ 300,000 บาท แล้วแบ่งกันคนละ 50,000 บาท เงินถูกไฟไหม้ไปบางส่วนประมาณ 3,000 บาท แล้วนำตู้เซฟไปฝังกลบในสวนผลไม้ ขณะที่รถกระบะใช้ก่อเหตุถูกนำมาเปลี่ยนแปลงอำพรางไม่ให้จับได้ ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 5 คน เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใดๆ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุม และทำให้เสียทรัพย์”.-สำนักข่าวไทย