กรุงเทพฯ 4 พ.ค.- กนอ. จับมือกรมชลประทาน แก้วิกฤติภัยแล้ง โดยเร่งผลักดันโครงการวางท่อสูบน้ำคลองสะพาน
เพิ่มปริมาณเก็บน้ำให้อ่างเก็บน้ำประแสร์ 500,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
นางสาวสมจิณณ์ พิลึก
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวถึงการแก้ไข “วิกฤตสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก”
ว่า ภายหลังร่วมกับกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากตัวเลขน้ำสำรองในปัจจุบันมั่นใจว่าจะมีน้ำใช้ไปจนถึงเดือนมิถุนายนนี้
และจะผ่านภาวะวิกฤติในครั้งนี้ได้ อย่างไรก็ตาม
กนอ.ยังคงมีความเป็นห่วงปัญหาในช่วงหลังเดือนมิถุนายนนี้ และในระยะยาวในปีต่อๆไป
จึงได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันเร่งการผลักดันโครงการวางท่อสูบน้ำจากคลองสะพาน
จ.ระยอง เพื่อวางท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ 1,800 มิลลิเมตร ซึ่งจะสามารถดึงน้ำเข้ามาเก็บที่อ่างเก็บน้ำประแสร์เพิ่มถึง
500,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
จากปัจจุบันที่ได้วางท่อสูบน้ำชั่วคราว ขนาด 900
มิลลิเมตร สูบน้ำได้ประมาณ 1.5 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน
ขณะที่มาตรการขอความร่วมมือให้กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคอมเพล็กซ์
ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ
นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย นิคมอุตสาหกรรมอาร์ไอแอล และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด
ลดการใช้น้ำลง 10% ในปีนี้
ทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายแต่หากเกิดภัยแล้งในปีหน้าขึ้นอีกก็จะเป็นการยากที่จะลดการใช้น้ำลง
10% ได้ตามเป้า เนื่องจากเกิดการขยายโรงงาน
และการลงทุนโรงงานใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติม
ที่ผ่านมา
กนอ.ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก
เพื่อให้เพียงพอในช่วงฤดูแล้งมาโดยตลอด ทั้งการเพิ่มนํ้าต้นทุนให้กับ 4
อ่างเก็บน้ำหลัก ประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำดอกกราย อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล
อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ และอ่างเก็บน้ำประแสร์ ได้แก่
การสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแกด ลุ่มน้ำวังโตนด จังหวัดจันทบุรี ประมาณ 10
ล้านลูกบาศก์เมตรไปเพิ่มน้ำต้นทุนยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง
สร้างระบบสูบกลับชั่วคราวจากคลองสะพาน ปรับปรุงระบบสูบกลับวัดละหารไร่จากแม่นํ้าระยองไปยังอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล
รวมทั้งการเพิ่มน้ำต้นทุนในนิคมอุตสาหกรรมโดยการนำน้ำจากคลองชากหมากมาผ่านการบำบัด
(Waste Water Reverse Osmosis : WWRO) และนำกลับมาใช้ใหม่
รวมถึงการขอความร่วมมือผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคอมเพล็กซ์
ปรับลดปริมาณการใช้น้ำลง 10 %
แต่ขณะเดียวกันในปีนี้น้ำในภาคตะวันออกมีฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
และมีน้ำไหลลงอ่างลดลงจากเดิมเนื่องจากฝนที่ตกไม่เข้าอ่างเก็บน้ำ
ทำให้เรื่องน้ำเป็นปัญหาที่สำคัญจะต้องมีมาตรการแก้ไขที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าในปี 2563-2565
จะมีการตั้งโรงงานเพิ่มประมาณ 2 เท่าตัว
และหากมีน้ำไม่เพียงพอก็อาจกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(อีอีซี) ได้ ขณะที่ความคืบหน้าของการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำวังโตนด
อยู่ระหว่างการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยหากอ่างเก็บน้ำทั้ง 4
แห่ง ก่อสร้างเสร็จจะสามารถแบ่งปันน้ำเข้าสู่พื้นที่อีอีซีได้ประมาณ 100 –
150 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
โดยเฉพาะครึ่งหลังของปี 2563 ที่นักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าว
กนอ.ได้มีการปรับเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแลของกนอ.ลงเหลือประมาณ
2,000-2,500ไร่ ต่อปี จากเดิมที่ตั้งเป้า ประมาณ 3,000-3,500
ไร่ต่อปี นอกจากนี้ กนอ.เตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมต่อคณะกรรมการ
กนอ.ให้ความเห็นชอบ
เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม
“หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
จบลง กนอ.เตรียมปรับแผนเชิงรุกมากขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุน โดยเฉพาะแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
หรือ EEC ประกอบด้วย
3 จังหวัด (ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา)
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต”ผู้ว่าการ
กนอ.กล่าว .-สำนักข่าวไทย