กรุงเทพฯ 30 เม.ย. – เครือข่ายอาสาคนรักแม่กลองนำผลสำรวจความเห็นเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอส ยื่นคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาประกอบการตัดสินใจ
ก่อนการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน วันนี้ (20 เม.ย.) ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับสารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด คือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต
นางสาวอัญชุลี ลักษณ์อำนวยพร ประธานเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง ได้เดินทางมายังกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อยื่นหนังสือผลสำรวจความเห็นเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องการใช้สารพาราควอตและคอลร์ไพริฟอสต่อไป เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตราย โดยมีนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการวัตตถุอันตรายเป็นผู้รับไว้
ในหนังสือที่ยื่นต่ออธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ใจความพอสรุปได้ว่า ต้องการใช้พาราควอตและคลอร์ไพริฟอสต่อไป และหากคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติห้ามใช้ทางเกษตรกรไม่เห็นด้วย โดยผลสำรวจพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ ระบุว่า จะส่งผลกระทบ เช่น ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น การกำจัดวัชพืชจะลำบากขึ้น การซื้อสารเคมีอื่น ๆ อาจจะมีราคาสูงขึ้น การจ้างแรงงานกำจัดวัชพืชเพิ่มมากขึ้น และตอนนี้ ยังไม่มีสารเคมีตัวอื่น ๆ มาทดแทน เป็นต้น
ส่วนความเห็นต่อสารทดแทนพาราควอตนั้น เกษตรส่วนใหญ่ระบุว่าสารทดแทนไม่มีอยู่จริง ส่วนน้อยไม่ถึงร้อยละ 10 ระบุว่าไม่มี และร้อยละ 11 ไม่แน่ใจ เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ในการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 คณกรรมการฯ ได้มีมติตามข้อเสนอของปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใน 2 ประเด็นคือ ประเด็นแรก ให้ออกประกาศกำหนดวัตถุอันตราย พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 โดยให้กำหนดระยะเวลาใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 สำหรับวัตถุอันตรายไกลโฟเซต ให้ใช้มาตรการจำกัดการใช้ตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561
อีกประเด็น คือ มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดทำมาตรการรองรับในการหาสารทดแทนหรือวิธีการอื่นที่เหมาะสมสำหรับวัตถุอันตรายพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส รวมถึงมาตรการลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และให้นำเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาภายในระยะเวลาสี่เดือนนับจากวันที่มีมติ (27 พ.ย.62) .-สำนักข่าวไทย