กรุงเทพฯ 28 เมษายน .- ประธานกรรมการ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป แนะไทยเร่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก และต้องคุมให้ได้ก่อนเข้าสู่หน้าหนาว พร้อมระวังการแพร่ระบาดระลอก 2 ด้าน “ศุภวุฒิ สายเชื้อ” ชี้เศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบหนัก 10 %
นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป กล่าวว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ ประเทศไทยเหมือนการพึ่งเริ่มวิ่งมาราธอน เพราะการตรวจเชิงรุกเมื่อเทียบสัดส่วนต่อจำนวนประชาชากร ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ดังนั้น ขณะนี้ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทยลดลง รัฐต้องเร่งตรวจหาเชื้อในเชิงรุก โดยไทยยังมีความเสี่ยงโดยเฉพาะในชุมชนแออัด เรือนจำ บ้านพักคนชรา และ แรงงานไทยในต่างประเทศที่จะเดินทางกลับมาไทย ทั้งนี้ไทยต้องควบคุมการแพร่ระบาดนี้ให้ได้ภายใน 2 เดือน หรือก่อนเข้าสู่หน้าฝน เพราะสภาพอากาศจะทำให้เชื้อแพร่เร็วขึ้น
ทั้งนี้ยอมรับว่า ไทยคงไม่สามารถล็อกดาวน์ประเทศได้ตลอดไป ขณะที่ต่างชาติหลายประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้าน กัมพูชา พม่า รวมทั้งตะวันออกกลาง ต้องการเดินทางเข้ามารับการรักษาในไทย แต่เนื่องจากขณะนี้ปิดประเทศจึงยังเดินทางมาไม่ได้ ดังนั้นหากจำต้องมีการปลดล็อกหรือเปิดประเทศ ไทยต้องทำเป็นขั้นตอน ไม่ควรเปิดทีเดียว โดยจะต้องสร้างความเข้มแข็งในประเทศให้ได้ก่อนและต้องมีมารตรการรับมือชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาไทย
อย่างไรก็ตามการที่ไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านสาธารณสุขอันดับ 6 ของโลกนั้น เนื่องจากไทยมีโครงการบัตรทองที่ทำให้คนไทยเข้าถึงการรักษา แต่ทั้งนี้ สาธารณสุขไทยกำลังเป็นระเบิดเวลา เนื่องจากงบประมาณด้านสาธารณสุขที่จำกัด ขณะที่รัฐบาลกำลังขยายโรคในสิทธิการรักษาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้โรงพยาบาลรัฐมีอุปกรณ์ไม่เพียงพอ และขาดการซ่อมบำรุง ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งตกอยู่ในภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง
พร้อมยกตัวอย่างไต้หวัน ที่พบว่ามีความมั่นคงทางสาธารณสุข ซึ่งหลังเหตุกาณณ์แพร่ระบาด H1N1 ได้มีการผลิตหน้ากาก การพัฒนายา การเตรียมพร้อมด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อรับมือการระบาดของโรคในอนาคต ขณะที่เกาหลีได้สร้างแทรคกิ้งติดตามและมีประวัติผู้ป่วยทุกคน ดังนั้นการพัฒนาประเทศจำเป็นต้องพัฒนาด้านสาธารณสุขควบคู่ด้วย เพราะเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรค จะได้ไม่ต้องพึ่งพาแต่ต่างประเทศ
ขณะที่ความคืบหน้าการสร้างโรงพยาบาลธนบุรี บางซื่อ ล่าสุดได้ปรับแผนลดการสร้างห้องวิกฤตลง หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยดีขึ้น และเปลี่ยนไปเน้นให้บริการผู้ป่วยนอกแบบไดร์ฟอินเทส เพื่อให้บริการตรวจหาเชื้อ แนะบริษัทเอกชนที่เตรียมเปิดทำการและต้องเกี่ยวข้องกับการให้บริการ นำพนักงานมาตรวจหาเชื้อเพื่อสร้างความมั่นใจและลดการแพร่ระบาด ซึ่งขณะนี้ประกันสังคมครอบคลุมการตรวจ ทำให้บริษัทเอกชนจ่ายส่วนต่างเพียงหลักร้อยเท่านั้น
พร้อมยอมรับว่าไม่มีธุรกิจใดเป็นบวกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้แต่ธุรกิจโรงพยาบาล เพียงแต่ขณะนี้ยังสามารถพยุงให้อยู่รอดได้ เนื่องจากจำนวนผู้มาใช้บริการลดลง จะมาเมื่อจำเป็นเท่านั้น ขณะที่ต่างชาติที่เคยเข้ามารับการรักษาในไทย ไม่สามารถเดินทางเข้ามาไทยได้เนื่องจากปิดประเทศ มีเพียงผู้ป่วยด้วยโรคอื่นบางรายที่รอการรักษาในโรงพยาบาลรัฐไม่ได้ เช่น การผ่าตัดด่วน จึงมารักษาในโรงพยาบาลเอกชนแทน
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ระบุว่า การล็อกดาวน์ประเทศเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็เหมือนกับการล็อคดาวน์เศรษฐกิจ ซึ่งจากสถานการณ์ขณะนี้ อาจทำให้จีดีพีไทยในปีนี้ติดลบถึง 10% ดังนั้นหากยิ่งล็อคดาวน์นานความเสียหายทางเศรษฐกิจก็จะมากขึ้น ทั้งนี้ไทยเลี่ยงไม่ได้ที่จะเปิดประเทศ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องระวังการระบาดระลอก 2 ที่อาจตามมาเหมือนในหลายๆ ประเทศ หรือการกลับมาระบาดซ้ำในอนาคต ขณะที่การพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสตัวนี้ อย่างเร็วสุดคือกลางปีหน้า แต่อาจพัฒนาไม่สำเร็จก็ได้ เพราะการปราบเชื้อไวรัสทำได้ยาก เช่น กรณีเชื้อ HIV ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หาย มีเพียงวัคซีนที่บรรเทาอาการ หรือเพียงช่วยลดอัตราการเสียชีวิตเท่านั้น
ทั้งนี้หากการแพร่ระบาดควบคุมได้และไม่มีการระบาดรอบ2 ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้แบบช้าๆ ขณะที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจไทย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดมากกว่า พร้อมแนะไทยใช้จุดแข็งด้านการรักษาสุขภาพ เช่น การทำเฮลท์ทัวร์ลิสซึ่ม แต่ก็ต้องทำอย่างระวังเพื่อป้องกันผลกระทบต่อการใช้บริการของคนไทยด้วย .-สำนักข่าวไทย