กรุงเทพฯ 28 เม.ย. – ขสมก.-ขนส่ง-รถไฟฟ้า จับตามาตรการคลายล็อกหากเปิดห้างฯ เดือน พ.ค.นี้ จะทำให้มีคนเดินทางในระบบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพนักงานห้าง เบื้องต้น ขสมก.ประเมินว่าจะมีคนใช้รถเมล์เพิ่ม 1-2 แสนคน/วัน ทุกหน่วยงานขอภาครัฐออกมาตรการเหลื่อมเวลา และเผื่อเวลาเลิกงานก่อนถึงเคอร์ฟิว 4 ทุ่ม
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ยอมรับว่าขณะนี้กำลังติดตามสถานการณ์หากมีการคลายล็อก เปิดห้างสรรพสินค้าเดือนพฤษภาคมนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจทำให้มีพนักงานห้างเดินทางทั่วกรุงอีกเป็นแสนคนต่อวัน โดยอาจทำให้ ขสมก.ต้องปรับแผนเดินรถและเพิ่มปริมาณรถในระบบให้ได้ 95% จากเดิม 70% และห้างสรรพสินค้าจำเป็นต้องเลิกงานปิดทำการก่อนเวลาเคอร์ฟิวอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อเผื่อเวลาให้คนเดินทางและหากพนักงานห้างเลิกงานพร้อมกัน รวมกับมาตรการเว้นระยะห่างบนรถโดยสารที่จำกัดทั้งจำนวนที่นั่งและคนยืน ก็จะทำให้ประชาชนรอรถนานมากไปด้วย
“ที่ผ่านมาปริมาณผู้ใช้บริการรถเมล์ ขสมก. มีการขายตั๋วประมาณวันละ 300,000 คน จากช่วงเวลาปกติที่ไม่มีสถานการณ์โควิด-19 มีผู้โดยสารกว่า 900,000 คน หากมีการเปิดพื้นที่พาณิชย์เพิ่มเติม โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าก็อาจทำให้มีผู้ใช้บริการ ขสมก.เพิ่มขึ้นอีกประมาณวันละ 100,000-200,000 คน ทำให้ ขสมก.กลับมาเดินรถเพิ่มขึ้นประมาณ 95% จึงจะเพียงพอต่อความต้องการใช้บริการ” นายสุระชัย กล่าว
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ยอมรับว่า หากมีการเปิดห้างเดือนพฤษภาคม คาดว่าจะมีประชาชนใช้บริการรถเมล์โดยสารเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะในส่วนของประชาชนที่ทำงานเป็นพนักงานในห้างสรรพสินค้า เพื่อเดินทางไป-กลับที่พักอาศัยกับพื้นที่พาณิชย์เหล่านี้ ดังนั้น นอกจาก ขสมก.จะต้องเดินรถเต็มที่แล้ว กรมการขนส่งทางบกจะมีการขอร่วมมือไปยังผู้ประกอบการรถร่วมบริการและรถตู้โดยสารให้กลับมาเดินรถช่วย เพื่อให้มีรถเพียงพอต่อความต้องการใช้บริการ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนทั้งเช้าและเย็นจนถึงก่อนเวลาเคอร์ฟิว
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง กล่าวว่า ประเด็นที่มีการเปิดพื้นที่เชิงพาณิชย์โดยเฉพาะในส่วนของห้างสรรพสินค้าเพิ่มเติมนั้น กรมการขนส่งทางรางจะมีการหารือกับระดับนโยบายรวมทั้งผู้ให้บริการระบบรถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้ง MRT รถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้ง เพื่อจัดระบบการเดินทางให้เพียงพอต่อความต้องการใช้บริการของประชาชน เบื้องต้นขณะนี้ยอมรับว่าจะต้องนำมาตรการเหลื่อมเวลาการเลิกงานมาใช้ เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวการเดินทางในแต่ละช่วงเวลา เนื่องจากขณะนี้ยอมรับว่าการใช้มาตรการ Social Distancing บนขบวนรถ ทำให้ความจุของขบวนรถไฟฟ้าแต่ละขบวน แต่ละตู้ลดลงประมาณ 75% เช่น ตู้โดยสารที่เคยจุผู้โดยสาร 250 คน ขณะนี้เหลือแค่ 50 คนเท่านั้น ซึ่งการเหลื่อมเวลาจะต้องหารือกับรัฐบาล เพื่อวางแนวทางที่ชัดเจนต่อไป
ขณะเดียวกันการวางมาตรการเพื่อป้องกันการระบาดของ COVID-19 ทั้งการเว้นระยะห่างในสถานี บนขบวนรถ การใส่หน้ากากอนามัย และตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสารก่อนเข้าสถานี ก็ยังเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างเข้มข้นอยู่ต่อไป.-สำนักข่าวไทย