บุรีรัมย์ 26 เม.ย. -ป้าวัย 57 ปี ชาวอำเภอกระสัง จ.บุรีรัมย์ ขอโทษหนุ่มเวรเปล รพ.เอกชน ที่กล่าวหาแอบกดถอนเงิน 5,000 บาท เตรียมถอนแจ้งความ หลังธนาคารยอมรับระบบขัดข้องขณะกดเงินที่ตู้ เอทีเอ็ม และได้โอนเงินเข้าบัญชีคืนให้แล้ว ภรรยาหนุ่มเปลปล่อยโฮโผกอดเพื่อนร่วมงาน ดีใจสามีพ้นมลทิน หลังตกเป็นจำเลยสังคมถูกประณามเสียหาย เชื่อทำดีต้องได้ดี แต่อยากให้ธนาคารออกมาแสดงความรับผิดชอบ
ความคืบหน้ากรณี น.ส.สุนันท์ หะพินรัมย์ อายุ 54 ปี เข้าแจ้งความตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ว่าเจ้าหน้าที่เวรเปลโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งได้แอบกดเอาเงินที่ลูกสาวส่งมาให้หายไป 5,000 บาท เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเอกชนดังกล่าว แต่ป้าสุนันท์เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น ส่วนสามีทำไม่เป็น จึงวานให้เจ้าหน้าที่เปลของโรงพยาบาลช่วยไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มหน้าโรงพยาบาลให้
ล่าสุดธนาคารไทยพาณิชย์ได้ตรวจสอบระบบตู้เอทีเอ็มของธนาคาร พบว่าระบบมีปัญหาขัดข้องในช่วงเวลาที่ลูกค้ากดเงิน ทำให้ถูกตัดเงินในบัญชีอัตโนมัติ และทางธนาคารได้โอนเงิน 5,000 คืนให้ป้าเรียบร้อยแล้ว
หลังทราบเรื่อง นายธนิต อายุ 34 ปี หนุ่มพนักงานเปลที่ถูกกล่าวหา พร้อมภรรยา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ในโรงพยาบาลเดียวกัน ได้ไปบ้านป้าสุนันท์เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง และยืนยันว่าธนาคารติดต่อแจ้งมาทางโทรศัพท์ว่าเงินที่หายไป 5,000 บาท เกิดจากระบบของตู้เอทีเอ็มขัดข้องจริง และทางธนาคารได้โอนเงินเข้าบัญชีคืนให้เรียบร้อยแล้ว ป้าสุนันท์และสามียกมือไหว้ขอโทษหนุ่มพนักงานเปล ที่เข้าใจผิดว่าเป็นคนกดถอนเงิน 5,000 บาทไป เพราะนายธนิตเป็นคนสุดท้ายที่ไปกดให้ และหากได้รับเอกสารยืนยันจากธนาคารแล้ว ก็จะนำไปประกอบหลักฐานในการถอนแจ้งความ ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวหาให้เสียหาย
ด้านนายธนิต หนุ่มพนักงานเปล บอกว่า หลังข้อเท็จจริงปรากฏแล้วว่ากรณีที่เกิดขึ้นเกิดจากตู้เทีเอ็มขัดข้อง ก็รู้สึกดีใจที่พ้นมลทินและได้ความบริสุทธิ์คืน จากที่ก่อนหน้าถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเครียดที่ถูกกล่าวหา ทั้งยังถูกสังคมประณามให้เสียหาย แต่พอความจริงปรากฏและป้าก็ขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตนก็ยกโทษให้ไม่ได้ติดใจอะไร ยืนยันว่าจะยังคงทำความดีและให้บริการผู้ป่วยแบบนี้ต่อไป เพราะยังเชื่อมั่นว่าทำดีต้องได้ดี
ขณะที่ภรรยาของหนุ่มพนักงานเปลก็ถึงกับร้องไห้ โผกอดเพื่อนร่วมงานด้วยความดีใจที่สามีพ้นมลทินและข้อกล่าวหา จากที่ก่อนหน้านี้กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเครียดมาก แต่ก็เชื่อว่าความดีย่อมทำให้ผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ยืนยันว่าตนและสามีจะยังทำความดีช่วยเหลือคนอื่นโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลแบบนี้ต่อไป ถึงแม้จะถูกสังคมโซเชียลประณามกล่าวหารุนแรงจนไม่กล้าอ่านคอมเมนต์ ขอบคุณเพื่อนร่วมงานและโซเซียลหลายคนที่เข้ามาให้กำลังใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอยากเรียกร้องให้ทางธนาคารออกมาแสดงความรับผิดชอบ. – สำนักข่าวไทย