เกษตรฯ เร่งขยายตลาดสินค้าฮาลาล 57 ประเทศมุสลิม

กรุงเทพฯ 24 เม.ย. – รมว.เกษตรฯ แต่งตั้งคณะทำงานส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล ตั้งเป้ารุกตลาดใหญ่ 57 ประเทศมุสลิม ขยายตลาดสินค้าฮาลาล 


นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้แต่งตั้งคณะทำงานส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล โดยมีผู้แทนจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้านการผลิต การแปรรูป การขนส่ง การส่งออกทั้งจากรัฐและเอกชน ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอบต.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรมกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์กรมหาชน) คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สมาคมการค้านักธุรกิจการค้าไทยมุสลิม หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย โดยมอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตร  ที่ปรึกษา รมว.เกษตร เป็นประธานคณะทำงาน 

ทั้งนี้ จากการประชุมคณะทำงานครั้งแรกที่ประชุมพิจารณาว่าอุตสาหกรรมสินค้าฮาลาลมีความสำคัญอย่างยิ่ง อีกทั้งเป็นโอกาสของไทยที่จะขยายตลาดสินค้าเกษตร เนื่องจากไทยมีศักยภาพผลิตสินค้าเกษตรอันดับ 2 ของเอเชีย โดยเป็นรองจีนและเป็นอันดับ 12 ของโลก แต่ไทยยังส่งออกอาหารฮาลาลน้อยมาก ขณะที่ประเทศมุสลิมเป็นตลาดใหญ่ของโลก หากสามารถส่งเสริมทั้งด้านการวิจัย การรับรองมาตรฐานการผลิต การลงทุน  การเปิดตลาดส่งออก และโลจิสติกส์จะสร้างรายได้เข้าประเทศได้อีกมา สินค้าฮาลาลไม่จำกัดเพียงอาหาร แต่รวมถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และภาคการบริการ 


ด้านสมาคมการค้าและนักธุรกิจมุสลิมนำเสนอที่ประชุมว่าตลาดสินค้าฮาลาลมีขนาดใหญ่และเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น อาหารฮาลาลมีมูลค่า 1,245 ล้านดอลลาร์ในปี 2559 โดยคาดว่าจะเติบโตเป็น 1,930 ล้านดอลลาร์ในปี 2565 คิดเป็นอัตราการเติบโต 7.33% สำหรับประเทศมุสลิมมี 57 ประเทศ การกระจายตัวของประชากรมุสลิมจากทั้งหมด 1,960 ล้านคน อยู่ในกลุ่มเอเชีย-แปซิฟิก 61.7% กลุ่มตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ 19.8%  อเมริกาใต้ 15.5% ยุโรป 2.7 % อเมริกาเหนือและใต้ 0.3% 

นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ที่ประชุมวิเคราะห์โอกาสแล้วจะเริ่มเจาะจงขยายตลาดประเทศที่มีศักยภาพการนำเข้าเริ่มจากกลุ่มประเทศ Gulf Cooperation Council (GCC) ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรต มีประชากรรวม 54 ล้านคน ส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูง จากนั้นจะขยายไปยังประเทศอื่น ส่วนภูมิภาคเอเชียกลางเริ่มที่ประเทศอุซเบกิสถาน ซึ่งมีประชากร 100 ล้านคน เพื่อเชื่อมโยงไปยังอีก 5 ประเทศ สำหรับอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซียและมาเลเซีย มีประชากรมุสลิม 240 ล้านคน จึงเป็นตลาดที่สำคัญเช่นกัน

“คณะทำงานส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาลเริ่มประชุมครั้งแรกจะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะด้านที่จำเป็น ได้แก่ ด้านกำหนดนโยบาย ด้านส่งเสริมการลงทุน และด้านส่งเสริมการค้า เป็นต้น โดยเน้นย้ำให้จัดประชุมทุกสัปดาห์ เพื่อเร่งรัดการทำงานให้เป็นรูปธรรมเร็วที่สุด” นายเฉลิมชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สามีเข้าเกียร์ค้างไว้ สตาร์ทรถพุ่งชนภรรยาดับ

สลด! สามีขับรถใส่เกียร์ค้างไว้ สตาร์ทรถพุ่งชนภรรยาเสียชีวิตในบ้านพักย่านวิภาวดี ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การเบื้องต้น นำตัวสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง

คุมฝากขัง “เอ็ม เอกชาติ” เจ้าตัวปิดปากเงียบ

ตร.ไซเบอร์คุมตัว “เอ็ม เอกชาติ” ฝากขัง เจ้าตัวปิดปากเงียบ ไม่ตอบคำถามสื่อ ด้านตำรวจพบเส้นทางการเงินจากเว็บพนัน กว่า 30 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

บกปภ.ช. แถลงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือเหตุแผ่นดินไหว

บกปภ.ช. แถลงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือเหตุแผ่นดินไหว สั่งพื้นที่เร่งสำรวจและให้ความช่วยเหลือ หากงบประมาณไม่เพียงพอให้ขอขยายวงเงินทันที ด้านอาคารที่ถล่มได้ส่งทีม USAR Thailand สลับกำลังเพิ่มเติม

นายกฯ กล่าวในวันอีฎิ้ลฟิตริ ฮ.ศ.1446 ส่งความปรารถนาดีชาวไทยมุสลิม

นายกรัฐมนตรี กล่าวในวันอีฎิ้ลฟิตริ ฮ.ศ.1446 ส่งความรัก ความปรารถนาดียังชาวไทยมุสลิมทุกคน ชื่นชมศรัทธาที่เข้มแข็ง ความอดทน อดกลั้น ความมุ่งมั่น เสียสละ

เร่งปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตจากใต้ซากอาคาร สตง.

ปฏิบัติการค้นหาผู้ติดใต้ซากอาคาร สตง. ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผ่านมาเกือบ 54 ชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ยังไม่พบผู้รอดชีวิตเพิ่ม ส่วนยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดเพิ่มเป็น 11 รายแล้ว

สตง.ตั้งศูนย์ประสานงานช่วยผู้ประสบภัยตึกถล่มจากแผ่นดินไหว

สตง. เร่งตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยและผู้ได้รับผลกระทบ จากกรณีอาคารที่ทำการสำนักงานแห่งใหม่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว พร้อมยืนยันกระบวนการดำเนินโครงการฯ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย