กรุงเทพฯ 19 เม.ย.-“กนก วงษ์ตระหง่าน” แนะรัฐนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจท่ามกลางวิกฤติโควิด เน้นดูแลธุรกิจขนาดกลาง –เล็ก ถือเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ
นายกนก วงษ์ตระหง่าน ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอแนวคิดการปรับระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังวิกฤติไวรัสโควิด-19 โดยเห็นว่าควรให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจฐานรากมากขึ้น และนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาผลิตภาพและความมั่นคงให้กับภาคการเกษตรทุกระดับ
“การบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติไวรัสคือการประคองไม่ให้ธุรกิจต้องปิดตัวลง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ควรต้องได้รับความช่วยเหลือทันที เพื่อรักษาธุรกิจให้คงอยู่ต่อไป ส่วนภาคประชาชนต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างน้อยที่สุดคือจำนวนเงินที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตจนกว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ อีกทั้งภาระหนี้สินของภาคธุรกิจและครัวเรือนต้องได้รับการผ่อนปรน ไม่สร้างภาระเพิ่มเติม” นายกนก กล่าว
นายกนก กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมองถึงช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่ไปกับความช่วยเหลือเฉพาะหน้าคู่ขนานกันไปด้วย เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเหมาะสมกับภาวการณ์ของโลกในอนาคตยุคหลังโควิด 19 ด้วยการสร้างความสมดุลและยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ด้วยองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เกษตรกรวิสาหกิจชุมชน ธุรกิจ SME
“เป้าหมายคือ 1.การสร้างมาตรฐาน (Standard) ของกระบวนการผลิต และผลผลิต 2. การสร้างผลิตภาพ (Productivity) และ 3. การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) เมื่อภาคการผลิตของระบบเศรษฐกิจฐานรากมีขีดความสามารถทั้ง 3 ด้านนี้แล้ว ผมเชื่อว่าอนาคตระบบเศรษฐกิจไทยจะไม่มีทางสั่นคลอนหรือเปราะบางได้ง่ายเช่นที่ผ่านมา” นายกนก กล่าว
นายกนก กล่าวว่า ส่วนผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหากดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าวแล้ว 1.เพิ่มมูลค่าและผลิตภาพทางภาคการผลิต โดยเฉพาะภาคการเกษตร ด้วยการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาเป็นเครื่องมือในกระบวนการผลิต การประยุกต์ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ ต้องตรงไปยังเกษตรกรรายย่อย วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการ SME เพราะกลุ่มเหล่านี้มีจำนวนมาก เป็นฐานรากของเศรษฐกิจประเทศ ถ้าสามารถสร้างฐานรากทางเศรษฐกิจของประเทศให้แข็งแรงได้สำเร็จ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะเป็นผลลัพธ์ที่ตามมา
“2. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดความสมดุล ด้วยการเร่งนโยบายภาคการเกษตรให้เติบโตเป็นร้อยละ 30 ของ GDP ประเทศ และปรับให้ภาคอุตสาหกรรมมีขนาดร้อยละ 30 และภาคบริการรวมทั้งการท่องเที่ยวเป็นร้อยละ 40 ของ GDP ประเทศ ด้วยสัดส่วนนี้ ผมเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจของไทยจะมีโครงสร้างสมดุล และสร้างความยั่งยืนให้องค์ประกอบทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ” นายกนก กล่าว
นายกนก กล่าวว่า 3. ปรับคุณภาพทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ และเสริมทักษะของแรงงานให้เต็มศักยภาพ ด้วยความร่วมมือจากสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษาและองค์กรภาคธุรกิจของประเทศ สร้างทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน ทักษะที่เชี่ยวชาญต่องานที่ทำ และความรับผิดชอบที่ได้รับการปลูกฝังผ่านคุณค่าต่าง ๆ ทางสังคม อาทิ ความเอื้ออาทร ความสามัคคี ความซื่อสัตย์สุจริต ความเสียสละ และวินัยของคนในชาติ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เองจะเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างผลิตภาพให้เกิดขึ้นได้ภายใต้ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
นายกนก กล่าวว่า 4.ส่งเสริมงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจชีวภาพ ในด้านอาหาร และการสร้างสารสกัดที่โลกกำลังต้องการ ด้วยการผสมผสานระหว่างระบบการผลิตด้านการเกษตร กับความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านการทดลองและยืนยันความสำเร็จโดยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น สารสกัดในพืช (Active Ingredients) หรือสมุนไพรในประเทศ ที่ต้องได้รับการสร้างมูลค่าใหม่ในรูปของอาหารฟังชั่น (Functional Food) หรือแบคทีเรียที่ปรากฏในสภาพพื้นที่ของแต่ละภูมิภาค ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ ต้องถูกนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน เ
“ในภาวะที่วิกฤติไวรัสทำความเสียหายให้แนวคิดเศรษฐกิจของโลกในแบบเดิม ๆ อย่างย่อยยับ นี่อาจเป็นแนวคิดหนึ่งการปฏิรูประบบเศรษฐกิจให้กับโลกใบนี้ก็ได้ ซึ่งได้กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ทั้งจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชนคนหนึ่ง ทำงานทั้งในฐานะตัวแทนของประชาชนและพลเมืองที่ดีของประเทศไทย เพื่อฝากส่งไปยังผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ หวังว่าจะพิจารณาความเห็นและข้อเสนอต่าง ๆ จนกลายเป็นมาตรการ นโยบาย หรือข้อปฏิบัติอย่างแม่นยำนะครับ” นายกนก กล่าว.-สำนักข่าวไทย