กรุงเทพฯ 10 เม.ย. – ธปท. ยึดมั่นหลักการของธนาคารกลาง และพร้อมรับฟังทุกภาคส่วนเพื่อปรับปรุงเกณฑ์ BSF ให้ชัดเจน
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ขอขอบคุณสำหรับความห่วงใยที่อดีตผู้บริหาร ธปท. ได้ยกขึ้นในเรื่อง การออก พ.ร.ก. การสนับสนุนสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Stabilization Fund: BSF) รวมทั้ง เสนอแนะให้ใช้กลไกของธนาคารของรัฐในการตัดสินใจเรื่องการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน
ธปท. ขอเรียนว่า การออกมาตรการในครั้งนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินเพราะตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีขนาดถึง 3.6 ล้านล้านบาท หรือ กว่าร้อยละ 20 ของ GDP เป็นแหล่งระดมเงินทุนและแหล่งลงทุนที่สำคัญ ถ้าตลาดการเงินส่วนใดส่วนหนึ่งมีปัญหา ก็อาจจะกระทบเป็นลูกโซ่ไปสู่ระบบการเงินโดยรวมและภาคเศรษฐกิจจริง นอกจากนี้ การรอให้เกิดปัญหาขึ้นก่อนแล้วจึงเข้าไปแก้ไขย่อมมีต้นทุนต่อระบบเศรษฐกิจการเงินสูงกว่าการเข้าไปดูแลก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม จึงต้องเตรียมเครื่องมือไว้ล่วงหน้า และการตัดสินใจที่ต้องการความรวดเร็วเร่งด่วนอาจจะทำให้ไม่สามารถพึ่งพากลไกการทำงานของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งมีพันธกิจอื่นอยู่แล้ว ในขณะที่ผู้ออกตราสารหนี้ภาคเอกชน ก็มักจะไม่ใช่ลูกค้าที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐมีความคุ้นเคยอยู่เดิม
ทั้งนี้ การออกพระราชกำหนดฯ ให้อำนาจ ธปท. ดำเนินการเรื่อง BFS ไม่ได้เป็นการแก้กฎหมาย ธปท. แต่เป็นการให้อำนาจการดำเนินการชั่วคราวแก่ ธปท. ในการเข้าไปดูแลตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน โดย พ.ร.ก. มีอายุ 5 ปี และไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักการที่วางใน พ.ร.บ. ธปท. 2551 แต่ประการใด
สำหรับความกังวลเรื่องการแทรกแซงการทำงานของ ธปท. เรื่องความเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มธุรกิจ หรือแม้กระทั่งไม่มั่นใจในความชำนาญของพนักงาน ธปท. ล้วนเป็นประเด็นที่ ธปท. คำนึงถึงและระมัดระวังมากที่สุด ในการวางแนวทางการทำงานของกองทุน BSF จึงจัดโครงสร้างการกำกับดูแล กระบวนการทำงานและการบริหารความเสี่ยงกองทุน BSF อย่างรอบคอบ รัดกุม และโปร่งใส โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการคลัง สำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) ธนาคารพาณิชย์ และผู้เชี่ยวชาญอิสระ รวมทั้งการใช้มืออาชีพมาร่วมบริหารจัดการกองทุน โดยธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในฐานะผู้ลงทุนในตราสารหนี้เอกชนด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สำคัญ ธปท. ยังคงยึดหลักการของการเป็นผู้ให้สภาพคล่องแหล่งสุดท้าย (last resort) ที่ให้กู้แก่บริษัทที่มีผลดำเนินธุรกิจดีต่อเนื่อง (viable) เพื่อเป็นแหล่งเงินสำรองระยะสั้น โดยบริษัทต้องมีแผนระดมทุนในระยะยาว และมีธนาคารพาณิชย์เข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินความเป็นไปได้ของธุรกิจและร่วมปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยผู้ออกหุ้นกู้จะต้องจัดการระดมทุนในตลาด หรือจากระบบสถาบันการเงินมาให้เป็นส่วนใหญ่ ก่อนจะมาขอสภาพคล่องจากกองทุน BSF ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าตลาด โดย BSF จะมีแนวทางที่ชัดเจนหากบริษัทผู้ออกถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating downgrade) ในภายหลัง
ทั้งนี้ ธปท. ยังคงยึดมั่นในหลักการดูแลเศรษฐกิจการเงินให้มีเสถียรภาพ ไม่ใช่การดูแลนักลงทุนรายบุคคล แต่เป็นการดูแลระบบการเงินของประเทศ บรรดาธนาคารกลางในหลายประเทศ ก็ได้เข้ามาดูแลส่วนต่างๆ ของระบบการเงินที่อาจจะเป็นข้อต่อสำคัญในการสร้างความเสี่ยงเชิงระบบไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ ของระบบการเงิน และสู่ภาคเศรษฐกิจจริงในที่สุด การทำงานของ ธปท. ได้หารือและรับฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ จึงขอให้เชื่อมั่นว่าข้อกังวลต่างๆ ของท่านอดีตผู้บริหารเป็นหลักการทำงานที่ ธปท. ยึดมั่นมาโดยตลอด และ ยินดีรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อนำมาปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนต่อไป
สำหรับกรณีนายวีรพงษ์ รามางกูร นักเศรษฐศาสตร์และอดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ให้เบรกการให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการนำเงิน 400,000 ล้านบาท รับซื้อตราสารหนี้ของเอกชน เพราะมองว่าอาจขัดหลักการของการเป็นธนาคารกลางที่ควรทำหน้าที่เป็นผู้ให้กู้เงินรายสุดท้ายของระบบ และกังวลการใช้ดุลพินิจการปล่อยกู้อาจเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนบางราย หากอนาคตมีการฟ้องร้องอาจส่งผลต่อความเชื่อถือของ ธปท.ได้นั้น
นายเชาวน์ เก่งชน ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่าว่าการใช้ พ.ร.ก.ให้อำนาจ ธปท. ในการเข้ามาดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 ผ่านกองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Stabilization Fund: BSF) นั้น บทบาทของธนาคารแห่งประเทศ เป็นเพียงผู้ระดมทุนเท่านั้น และเป็นการดำเนินการโดยมีกฎหมายรับรอง ส่วนการตัดสินใจว่าจะให้เอกชนรายใดเป็นผู้กู้ คือ หน้าที่ของคณะกรรมการกองทุน ซึ่งยังต้องติดตามในรายละเอียดเพิ่มเติมของ พ.ร.ก และการตั้งคณะกรรมการของกองทุนนี้อีกครั้งว่าจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร แต่มองว่าคณะกรรมการผู้มีอำนาจ หรือ คณะกรรมการส่วนใหญ่ จะเป็นเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงที่มาจากกระทรวงการคลัง
ขณะที่หลักการของการตั้งกองทุนนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้แบบเฉพาะการณ์ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวรุนแรง เพื่อไม่ให้เกิดกรณีแบบกองทุนรวม ดังนั้นการตั้งกองทุน BSF จะช่วยตัดตอนไม่ให้เกิดความกังวัลจนนำไปสู่ปัญหาในตลาดตราสารหนี้ เพราะหากดูมูลค่าในตลาดตราสารหนี้ที่จะครบอายุช่วง 1-2 ปีนี้มีมูลค่ากว่า 700,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าสูงมาก หากเกิดความตื่นตระหนกก็จะกระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งนี้ท้ายที่สุดจะใช้กองทุน BSF หรือไม่ก็ได้ แต่การเกิดขึ้นของกองทุนนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
ด้านนายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมามีธนาคารกลางหลายประเทศ เช่น สหรัฐ เข้าไปซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชนเพื่อรักษาเสถียรภาพไม่ให้เกิดภาวะการผิดนัดชำระ เพราะหากเกิดขึ้นอาจลุกลามไปถึงสถาบันการเงินได้ และ เกิดอาจเกิดความไม่เชื่อมั่นได้ เช่นเดียวกับที่ธปท.ออกกองทุน BSF เข้ามาซื้อหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทที่มีคุณภาพดี มีเรตติ้งอย่างน้อย Investment Grade เพื่อดูแลไม่ให้เกิดปัญหาที่ผิดปกติ อย่างไรก็ตามการออกกองทุนดังกล่าวเป็นเพียงภาวะชั่วคราวเท่านั้น
“ สิ่งสำคัญคืออย่าออกมาตราการที่ทำให้คนเสพติดการช่วยเหลือจนเกินไป การใช้มาตรการพิเศษแค่ชั่วคราวนั้นสามารถทำได้ เพื่อประคองสถานการณ์ เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติก็ควรยกเลิก และ ไม่ควรส่งเสริมให้คนลงทุนที่เสี่ยงจนเกินไป” นายอมรเทพ กล่าว .- สำนักข่าวไทย