กทม. 9 เม.ย. – ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง สั่งโอนคดีชาวเมียนมาขนเงิน 16.5 ล้านบาท ให้กองปราบปรามสอบสวนขยายผลต่อ หลังพบไม่มีเอกสารสำแดงการนำเงินเข้าประเทศ ด้านทนายความยื่นประกัน 2 เมียนมา ยืนยันมีหลักฐานการซื้อขายน้ำมันกับบริษัทในไทย จ่อเอาผิดชุดจับกุมหลังไม่นำตัวส่งดำเนินคดีท้องที่เกิดเหตุ แต่เอาตัวไปสอบสวนเอง
พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่ตำรวจทางหลวงจับกุมนายแตะป่ายอู อายุ 30 ปี กับ น.ส.มิโฉ่ อายุ 24 ปี 2 ผู้ต้องหาชาวเมียนมา ขณะขนเงินไทยจำนวน 16.5 ล้านบาท ข้ามชายแดนมาฝั่งประเทศไทยด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก ก่อนมีตำรวจระดับรองผู้บังคับการขอเคลียร์ว่าคดีนี้ผู้ต้องหาทั้งสองคนมีหนังสือเดินทางถูกต้อง ภายในรถพบถุงพลาสติกสีแดงขนาดใหญ่ มีถุงสีดำ 2 ถุง บรรจุธนบัตรไทย ฉบับละ 1,000 บาท มัดรวมกันเป็นปึกรวมกว่า 16 ล้านบาท ทั้งคู่อ้างว่าเตรียมนำเงินทั้งหมดมาฝากธนาคารกสิกรไทย สาขาแม่สอด จ.ตาก แต่ไม่สามารถนำเอกสารหรือหลักฐานมายืนยันได้
เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อหาร่วมกันนำเข้าเงินตราสกุลไทยเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร ก่อนที่ พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สั่งการให้โอนคดีดังกล่าวมาให้ตำรวจกองปราบปรามขยายผลต่อ ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนถึงที่มาที่ไปของเงิน ซึ่งเร็วเกินไปที่จะสรุปหรือเปิดเผยรายละเอียดความเชื่อมโยงได้ รวมถึง กรณีมีนายตำรวจระดับรอง ผบก.ขอเคลียร์ให้ปล่อยตัวด้วย ยืนยันว่าจะสอบสวนคดีให้รอบด้าน ครบทุกประเด็น และให้ความเป็นธรรมกับทุกคนที่เกี่ยวข้องในคดี
ขณะเดียวกัน จะประสานสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมกันสืบหาที่มาของเส้นทางการเงิน พร้อมสั่งการให้ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเข้าร่วมตรวจเงินของกลางที่เข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.ศุลกากร
ทนายความยื่นประกัน 2 เมียนมา ยืนยันมีหลักฐานซื้อขายน้ำมัน
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายจ่อเฮง นักธุรกิจน้ำมันชาวเมียนมา พร้อมด้วยนายกริช อึ้งวิฑูรย์สถิตย์ ประธานสภาธุรกิจไทย-เมียนมาร์ (TMBC) เดินทางมาศาล เพื่อเข้าเยี่ยมและยื่นขอประกันตัวนายแตะป่ายอู อายุ 30 ปี กับ น.ส.มิโฉ่ อายุ 24 ปี ชาวเมียนมา ซึ่งถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 เม.ย. จากกรณีขนเงินสด 16.5 ล้านบาท เข้าประเทศไทย ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก
นายอนันต์ชัยยอมรับว่า ทำผิดที่ขนเงินข้ามประเทศแล้วไม่สำแดง ซึ่งยอมรับผิดในส่วนนี้ แต่ติดใจถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจทางหลวง ชุดที่จับกุม ซึ่งหลังจากจับกุมต้องส่งตำรวจท้องที่คือ สภ.แม่สอด ทันที ไม่ใช่นำตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนเอง อีกทั้งยังมีการเปิดเผยภาพขณะจับกุม และแถลงข่าวอย่างเปิดเผย ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ผู้ต้องหา ซึ่งได้โทรศัพท์ไปแจ้งว่าไม่ให้แถลงข่าวแล้ว แต่ก็ไม่ปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตาม ในวันเกิดเหตุยืนยันว่า มีหลักฐานการซื้อขายกับ ปตท. และให้ตำรวจชุดจับกุมตรวจสอบ แต่กลับไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งจากนี้จะไปแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจชุดจับกุมที่ สภ.แม่สอด และจะร้อง ป.ป.ช.ในฐานความผิด เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และหน่วงเหนี่ยวกักขังต่อไป
ด้านนายกริช เปิดเผยว่า เนื่องจากขณะนี้ธนาคารในประเทศเมียนมา ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ เพราะได้ปิดทำการในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีขนเงินสดข้ามประเทศมาชำระหนี้แทน โดยไม่ทราบว่าจะต้องสำแดงกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรก่อน เป็นบทเรียนให้รู้ว่าครั้งต่อไปการขอเงินข้ามประเทศจะต้องสำแดงให้เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรก่อน ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยทำ จึงไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม ขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ไทยดำเนินการตามกฎหมาย ที่สำคัญคือต้องระวังไม่ให้กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ. – สำนักข่าวไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
►ทนายอนันต์ชัยจ่อฟ้อง ปปช.เอาผิดตำรวจจับ 2 พม่า ขนเงินสด 16.5 ล้านเข้าไทย