กรุงเทพฯ 7 เม.ย. – ธปท.ออก 4 มาตรการ ช่วยเอสเอ็มอี ดูแลตลาดตราสารหนี้เอกชน วงเงินรวม 9 แสนล้านบาท ยืนยันเป็นเงินจากการบริหารสภาพคล่อง ไม่ใช้เงินสำรองระหว่างประเทศ ขณะที่การออก พ.ร.ก.เป็นการเพิ่มอำนาจให้ ธปท.เข้าไปดูแลเสถียรภาพการเงินในระบบไม่ใช่กู้เงินเพิ่ม
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แบงก์ชาติได้ออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีและดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน ลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 ระยะที่ 3 โดยออกมาตรการพักชำระหนี้ให้เอสเอ็มอีที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน การสนับสนุนสินเชื่อใหม่ซอฟท์โลนวงเงิน 500,000 ล้านบาท ให้แก่ธุรกิจ เอสเอ็มอีที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ขั้นต่ำ 1.7 ล้านราย
นอกจากนี้ ธปท.เตรียมจัดตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Stabilization Fund: BSF) วงเงิน 400,000 ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินสำรองชั่วคราว สำหรับเข้าไปซื้อตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่มีคุณภาพดี มี rating อย่างน้อย vestment grade โดยกองทุน BSF ถือเป็นเครื่องมือที่เตรียมพร้อมสำหรับใช้กรณีสถานการณ์แย่ลงหรือจำเป็น ซึ่งอาจจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ รวมทั้งการลดอัตรานำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ หรือ FIDF จากเดิม 0.46% เหลือ 0.23% ของฐานเงินฝาก เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้สถาบันการเงินไปปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มเติมให้กับประชาชนและภาคธุรกิจทันที
นายวิรไท กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่มาของวงเงินที่ใช้ในการทำซอฟท์โลนวงเงิน 500,000 ล้านบาท และการตั้งกองทุน BSF วงเงิน 400,000 ล้านบาทนั้น ไม่ใช้การนำเงินสำรองระหว่างประเทศมาใช้ แต่เป็นเงินที่ได้มาจากการบริหารจัดการสภาพคล่องในระบบช่วงที่ผ่านมา ทั้งการดูดสภาพคล่องและปล่อยสภาพคล่องแต่ละวัน เช่น การออกพันธบัตร หรือการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งถือเป็นกลไกในการบริหารสภาพคล่องของธนาคารกลาง ขณะที่การออกเป็น พ.ร.ก.นั้น ไม่ใช่เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยไปกู้เงิน แต่เป็นการเพิ่มอำนาจให้สามารถเข้าไปดูแลเสถียรภาพและสภาพคล่องของระบบการเงิน ซึ่งเป็นกลไกที่ธนาคารกลางหลายประเทศดำเนินการ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ อังกฤษ ยุโรป ญี่ปุ่น สวีเดน และแคนาดา
พร้อมกันนี้ผู้ว่าฯ ธปท. ยอมรับมีความกังวลผลกระทบของการระบาดโควิด-19 จึงได้ออกกลไกในการเข้าไปช่วยเหลือสภาพคล่องให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม โดยยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมออกมาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกหากจำเป็น .-สำนักข่าวไทย