กรุงเทพฯ 1 เม.ย. – กรอบรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ และบงกช ผ่านที่ประชุม ครม.แล้ว “สนธิรัตน์” มั่นใจ ปตท.สผ.เข้าพื้นที่เตรียมผลิตต่อเนื่องหลังสัมปทานหมดอายุ
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.วันที่ 24 มีนาคม 63 ได้เห็นชอบ กรอบการส่งมอบสิ่งติดตั้งหรือแท่นผลิตปิโตรเลียมของแหล่งเอราวัณและบงกช ที่จะสิ้นสุดสัมปทานในช่วงปี 2565-2566 ตามที่คณะกรรมการปิโตรเลียมเสนอแล้ว ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ว่าจะต้องวางแนวทางล่วงหน้าก่อนหมดอายุสัมปทานเป็นเวลา 2 ปี โดยหลังจากนี้ ทางผู้รับสัมปทานก็จะต้องทำแผนรายละเอียดการรื้อถอนเสนอมายัง กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ รวมทั้งเรื่องการวางหลักประกันตามที่กฏหมายกำหนด ซื่งทำให้การส่งมอบงานแก่ผู้ผลิตรายใหม่คือ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.และพันธมิตร จะเป็นตามแผนคือ จะสามารถผลิตต่อเนื่อง หลังหมดอายุสัมปทานได้ทันที ที่กำลังผลิตรวม 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งจะทำให้การผลิตปิโตรเลียมของไทย เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่เกิดปัญหาสะดุดจนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงาน
ส่วน กรณีราคาก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ แอลเอ็นจีในตลาดโลกต่ำมาก และกระทรวงพลังงานได้ ขอให้ บมจ.ปตท.เจรจากับผู้ผลิตปิโตรเลียม ในอ่าวไทยเพื่อลดกำลังผลิต เพื่อยืดอายุสำรองก๊าซฯในประเทศให้นานขึ้นนั้น ในขณะนี้ ได้เน้นย้ำให้ ปตท.เร่งดำเนินการขอคำตอบ คาดว่าคงจะสรุปผลในเร็วๆนี้
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน และประธาน คณะกรรมการปิโตรเลียม กล่าวว่า ได้รายงาน ครม. ว่า เชฟรอนฯในฐานะผู้ดำเนินการแหล่งเอราวัณฯได้แจ้งเรื่องการส่งมอบแท่นผลิตแก่รัฐในแหล่งเอราวัณ มี 191 แท่น โดยรัฐจะเก็บไว้ใช้ประโยชน์ราว 142 แท่น และเชฟรอนต้องรื้อถอน 49 แท่น ส่วนแหล่งบงกชทาง ปตท.สผ.จะส่งมอบให้รัฐ 50 แท่น รัฐเก็บไว้ในประโยชน์ 46 แท่น และ ปตท.สผ.ต้องรื้อถอนราว 4 แท่น ซึ่งขั้นตอนนับจากนี้ รอมติ ครม.อย่างเป็นทางการ หลังจากนั้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จะแจ้งแก่ ผู้ได้รับสัมปทานทั้ง 2 แหล่ง เพื่อปฎิบัติตามกฏหมายต่อไป
“ในขณะนี้การหารือระหว่างกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และ ผู้ประกอบการมีบรรยากาศที่ดีขึ้น เมื่อ ครม.อนุมัติกรอบการรื้อถอนแท่นปิโตรเลียมแล้ว และหารือเรื่องรายละเอียดของแผนรื้อถอน เสร็จสิ้น ก็เชื่อว่า ทางผู้ประกอบการแหล่งเอราวัณคงจะถอนฟ้อง อนุญาโตตุลาการแต่ทางกระทรวงฯก็วางแผนหากเจรจาไม่จบ ก็ขอใช้งบกลางฯ ในการว่าจ้างสำนักงานกฎหมาย450 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมต่อสู้ในการฟ้องร้องค่อไป” นายกุลิศ กล่าว
นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า เมื่อได้มติ ครม.อย่างเป็นทางการแล้ว ทางกรมฯจะทำหนังสือถึง ผู้ประกอบการสัมปทานทั้ง 2 แหล่ง ให้ทำแผนรายละเอียดการรื้อถอน ซึ่งจะมีวงเงินประมาณการค่าใช้จ่ายการรื้อถอน โดยทางกรมฯจะส่งให้บุคคลที่สาม เข้ามาประเมินมูลค่าการรื้อถอนทั้งแท่นและท่อต่างๆ เพื่อให้ได้ราคาที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย โดยกระทรวงฯก็ต้องนำเสนอรายงาน ครม. อีกรอบ ซึ่งหากได้รับความเห็นชอบทั้งหมด แล้วจึงแจ้งให้ทางผู้ประกอบการรื้อถอนและต้องมาวางเงินหลักค้ำประกันภายใน 120 วัน โดยหากทุกอย่างราบรื่นคาดก็ต้องใช้เวลา 5-6 เดือน กระบวนการเริ่มรื้อถอนก็จะเร็วสุดภายในเดือนกันยายน 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลค่าประเมินการรื้อถอนจะอยู่ที่ราว 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อแท่น ทั้ง 2 แหล่ง จะรื้อถอนรวม 53 แท่น ซึ่งต้องใช้วงเงินรื้อถอนราว 12,000 ล้านบาท . – สำนักข่าวไทย