กรุงเทพฯ 1 เม.ย.-ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการเดินรถของการรถไฟฯ ระบุผู้โดยสารเสียชีวิตบนรถไฟจนต้องมีการนำศพลงที่สถานีทับสะแก ล่าสุดมีรายงานอย่างไม่เป็นทางการว่าติดเชื้อโควิด-19
นายฐากูร อินทรชม ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการเดินรถของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า จากกรณีเกิดเหตุบนขบวนรถไฟ ขบวนที่ 37 กรุงเทพ-สุไหงโกลก เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา มีผู้โดยสารเสียชีวิตปริศนาบนขบวนรถ จนต้องมีการนำศพลงที่สถานีทับสะแก ประสานแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตว่าจากโรคประจำตัว หรือเสียชีวิตจากโควิด- 19
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดได้รับรายงานผู้เสียชีวิตบนขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ-ปลายทางสุไหงโกลก พบว่า ผู้เสียชีวิตบนขบวนรถนอนผลสรุปเกิดจากโรคประจำตัวเบาหวานความดันโลหิตสูง และพบข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการว่า ผู้เสียชีวิตมีเชื้อโควิด-19 แต่ต้องรอการยืนยันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
โดยผู้เสียชีวิตได้ขึ้นรถไฟที่สถานีบางซื่อ ซึ่งขณะที่เดินทางยังมีอาการปกติ แต่ระหว่างทางมีอาหารไอ อาเจียน เมื่อถึงช่วงสถานีหัวหิน เจ้าหน้าที่ประจำรถไฟได้ประสานเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมาตรวจสอบ พบว่ามีอาการไอ และอาเจียนลดลง และตรวจวัดอุณหภูมิได้ที่ 36 องศาเซลเซียส จึงแนะนำให้ผู้เสียชีวิตลงพักรักษาตัวที่หัวหิน แต่ผู้เสียชีวิตต้องการเดินทาง เมื่อถึงบริเวณสถานีทับพบว่า ผู้โดยสารล้มลงและเสียชีวิตหน้าห้องน้ำ จึงให้ขบวนรถหยุด เพื่อให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้ามาตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบพบว่าผู้เสียชีวิต เดินทางมาจากปากีสถานและมีใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในประเทศปากีสถาน
ส่วนผู้โดยสารที่อยู่ในขบวนดังกล่าว การรถไฟฯ ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทับสะแก เพื่อเรียกตัวมาตรวจสอบแล้ว โดยวันดังกล่าวมีผู้โดยสารรรวมผู้เสียชีวิต 16 คน และการรถไฟฯ ยังได้กักตัว พนักงานตู้นอนและตำรวจรถไฟแล้ว
สำหรับมาตรการป้องกันโควิด-19 นั้น การรถไฟฯ ได้มีการคัดกรองการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนใช้บริการที่สถานีรถไฟทุกครั้ง หากพบอุณหภูมิสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ขอให้ผู้โดยสารหลีกเลี่ยงการเดินทาง หากจําเป็นต้องเดินทางขอให้มีใบรับรองแพทย์แสดง และกรอกแบบประเมินและรับรองตนเอง เพื่อคัดกรองและยืนยันตนก่อนการเดินทาง
นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ใช้บริการที่มีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป กลุ่มคนที่มีโรคประจําตัว และกลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีลงมา ควรงดการเดินทาง เว้นแต่บุคคลกลุ่มดังกล่าวมีความจําเป็นตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563.-สำนักข่าวไทย