กรุงเทพฯ 1 เม.ย.-โฆษกพรรรคก้าวไกล แนะรัฐบาลใช้งบประมาณฐานศูนย์ ตัดส่วนไม่จำเป็น ระบุควรจัดงบความมั่นคงใหม่ ปี 64 จากความมั่นคงทางการทหารเป็นความมั่นคงทางสาธารณสุข เปลี่ยนจัดซื้ออาวุธมาเป็นยารักษาโรค มองสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ไม่จบในเร็ว ๆ นี้
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดสรรงบกลางของรัฐบาล ว่า เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาล งบกลางที่มีจำนวน 5.2 แสนล้านบาทนั้น ไม่ได้วางไว้ให้ใช้กับภารกิจฉุกเฉินหรือจำเป็นอย่างเดียว แต่ถูกจัดวางไว้ให้ใช้กับเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญแก่ข้าราชการ ประมาณ 2.66 แสนล้านบาท ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ ประมาณ 7.12 หมื่นล้านบาท เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ 4.94 พันล้านบาท และอื่นๆ อีกประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท ส่วนงบประมาณที่นำมาใช้กับสถานการณ์วิกฤติฉุกเฉินที่อยู่ในงบกลางมีชื่อว่าเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มีอยู่ 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนไม่มาก ดังนั้นเวลาที่คิดถึงงบกลาง ต้องคิดถึงจำนวน 9.6 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่ 5.2 แสนล้านบาท
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า จากการที่ได้ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินของรัฐบาล พบว่าถูกใช้ไปในมาตรการดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แล้วประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาท ดังนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่า งบกลางจะหมดแล้ว ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่การใช้งบประมาณของรัฐบาลจะเป็นที่พอใจของประชาชนหรือเกิดประสิทธิผลหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“วันนี้เราจึงเรียกร้องให้รัฐบาลโอนงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นจากกระทรวงต่าง ๆ มาใช้ในการกู้วิกฤติ ล่าสุดรัฐบาลแจ้งว่าจะตัดงบประมาณ 10% จากทุกระทรวง ซึ่งการโอนงบแบบนี้ ถือว่าไม่ถูกหลักการ เพราะหากกระทรวง หรือหน่วยงานใดมีความจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ ก็จะไม่สามารถนำไปใช้ดำเนินการตามที่วางแผนได้ เราจึงแนะนำให้บริหารงบแบบ Zero-based budgeting (การตั้งงบประมาณฐานศูนย์) การโอนงบประมาณแบบนี้ คือ การเรียกงบประมาณที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายมาทั้งหมด ทั้งงบลงทุน งบดำเนินงาน และงบร่ายจ่ายอื่น เช่น งบรายจ่ายที่ปรึกษา งบเดินทางไปราชการต่างประเทศ และงบจัดงานมหกรรม นิทรรศการ อบรม งานประชาสัมพันธ์ งบส่วนนี้เราเสนอให้ตัดทั้งก้อน ไม่จำเป็นต้องตัด 10% เพราะไม่สามารถนำงบมาใช้ได้อยู่แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ งบส่วนที่ไม่ควรตัดแม้แต่บาทเดียว เช่น งบดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้พิการของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สรุปการตั้งงบประมาณฐานศูนย์ คือการนำงบประมาณที่เหลือยู่ทั้งหมด ลบด้วยรายจ่ายประจำ เช่นเงินเดือนข้าราชการ เงินบำเหน็จบำนาญ จากนั้นเหลือเท่าไหร่ ก็มาพิจารณาทีละโครงการ หากไม่จำเป็น ก็ตัดทั้งโครงการ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลควรทำ” โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า หากใช้มาตรฐานตัดงบ 10% เราก็จะตัดงบจากกระทรวงกลาโหมได้น้อย ซึ่งข้อมูลจากกรมบัญชีกลางเปิดเผยว่า อัตราการเบิกจ่ายของงบลงทุนของกระทรวงกลาโหมต่ำมาก และอยากให้ย้อนหลังไปดูงบ 2562 หากมีสัญญาการซื้ออาวุธใด ๆ แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่ามีการทำสัญญาไปแล้ว ก็ต้องรื้อมาดู ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีการส่งมอบ ควรจะไปเจรจาเพื่อลดออเดอร์ลง ขอแก้ไขสัญญาซื้อสินค้าชนิดอื่น หรือเลื่อนการซื้อขาย
“ดังนั้นหลักคิดในการโอนงบ 2563 คือ ใช้งบประมาณฐานศูนย์ คือ อะไรที่จำเป็นไม่ตัด แต่อะไรที่ไม่จำเป็นต้องตัดให้เหี้ยน โยกมาทั้งก้อน อย่ามาถือโอกาสใช้แนวคิดเท่าเทียม ตัด 10% เหมือนกันหมด” โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว
ส่วนงบกลางในส่วนเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น สามารถเพิ่มจำนวนได้หรือไม่ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า สามารถทำได้ และควรเพิ่มเงินในส่วนนี้ด้วย ทั้งนี้ในปี 2564 หากรัฐบาลจะขอเพิ่มงบในส่วนนี้ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเราไม่รู้ว่าใน 1 ปี เราจะเผชิญภัยพิบัติ หรือเหตุฉุกเฉินเรื่องใด จึงต้องมีเงินส่วนนี้สำรองไว้ใช้จ่าย ซึ่งในวันนี้เราเห็นชัดเจนว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มจะลากยาว และส่งผลกระทบไปอีกหลายเดือน หรือเป็นปี รัฐบาลจึงมีภารกิจสำคัญ 3 ประการ คือ การควบคุมการระบาด การยกระดับขีดความสามารถทางสาธารณสุข และการเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งนี้จากสถิติปี 2562 พบว่า ตัวเลขผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีทั้งหมด 3,084,290 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงานรวม 13,950,241 คน หากคนเหล่านี้ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้ จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน
“สิ่งที่อยากเห็นในงบประมาณปี 2564 คือ การมีงบความมั่นคงใหม่ เปลี่ยนความมั่นคงทางการทหารมาเป็นความมั่นคงทางสาธารณสุข เปลี่ยนอาวุธมาเป็นยารักษาโรค วันนี้ไอเอสประกาศยุติการก่อการร้าย และขบวนการบีอาร์เอ็นประกาศยุติการยิง เพราะต่างฝ่ายก็ทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า วันนี้ความมั่นคงที่ทุกคนต้องเผชิญ คือ ความมั่นคงด้านสาธารณสุข ไม่ใช่ความมั่นคงด้านการทหารอีกต่อไป และไวรัสไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียงหรือไม่ก็ตาม” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า พรรคก้าวไกลจะเสนอแนวทางการโอนงบประมาณ 2563 และการจัดสรรงบประมาณ 2564 ซึ่ง ส.ส.ที่อยู่ในกรรมาธิการงบประมาณ จะติดตามการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด หากรัฐบาลยังใช้วิธีบวก ๆ ลบ ๆ งบประมาณ 2563 ถือว่ารัฐบาลยังส่งการบ้านแบบเดิม ทั้งที่สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม ดังนั้นหากยังไม่แก้ไข การพิจารณาในวาระ 1 คงโหวตให้ผ่านไม่ได้
“สิ่งที่เราอยากจะเตือน คือ กระทรวงกลาโหม เป็นกระทรวงที่มีสัดส่วนของงบผูกพันสูงมาก ในปี 2564 เราคาดหวังว่าจะไม่เห็นงบผูกพันใด ๆ ของกระทรวงกลาโหม ยกเว้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายและชีวิตของประชาชน เราไม่อยากเห็นงบการจัดซื้ออาวุธที่ไม่จำเป็น รวมไปถึงไม่อยากเห็นงบอีเว้นท์ สัมมนา นิทรรศการ อบรม การเดินทางไปต่างประเทศ เพราะสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ไม่จบในเร็ว ๆ นี้แน่” โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว.-สำนักข่าวไทย