แนะรัฐใช้งบประมาณฐานศูนย์ ตัดส่วนไม่จำเป็น

กรุงเทพฯ 1 เม.ย.-โฆษกพรรรคก้าวไกล แนะรัฐบาลใช้งบประมาณฐานศูนย์ ตัดส่วนไม่จำเป็น  ระบุควรจัดงบความมั่นคงใหม่ ปี 64 จากความมั่นคงทางการทหารเป็นความมั่นคงทางสาธารณสุข เปลี่ยนจัดซื้ออาวุธมาเป็นยารักษาโรค มองสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ไม่จบในเร็ว ๆ นี้


นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดสรรงบกลางของรัฐบาล ว่า เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาล งบกลางที่มีจำนวน 5.2 แสนล้านบาทนั้น ไม่ได้วางไว้ให้ใช้กับภารกิจฉุกเฉินหรือจำเป็นอย่างเดียว แต่ถูกจัดวางไว้ให้ใช้กับเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญแก่ข้าราชการ ประมาณ 2.66 แสนล้านบาท ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ ประมาณ 7.12 หมื่นล้านบาท เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ 4.94 พันล้านบาท และอื่นๆ อีกประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท ส่วนงบประมาณที่นำมาใช้กับสถานการณ์วิกฤติฉุกเฉินที่อยู่ในงบกลางมีชื่อว่าเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มีอยู่ 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนไม่มาก ดังนั้นเวลาที่คิดถึงงบกลาง ต้องคิดถึงจำนวน 9.6  หมื่นล้านบาท ไม่ใช่ 5.2 แสนล้านบาท

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า จากการที่ได้ตรวจสอบการใช้จ่ายเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินของรัฐบาล พบว่าถูกใช้ไปในมาตรการดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แล้วประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาท ดังนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกว่า งบกลางจะหมดแล้ว ก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่การใช้งบประมาณของรัฐบาลจะเป็นที่พอใจของประชาชนหรือเกิดประสิทธิผลหรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


“วันนี้เราจึงเรียกร้องให้รัฐบาลโอนงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นจากกระทรวงต่าง ๆ มาใช้ในการกู้วิกฤติ ล่าสุดรัฐบาลแจ้งว่าจะตัดงบประมาณ 10% จากทุกระทรวง ซึ่งการโอนงบแบบนี้ ถือว่าไม่ถูกหลักการ เพราะหากกระทรวง หรือหน่วยงานใดมีความจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ ก็จะไม่สามารถนำไปใช้ดำเนินการตามที่วางแผนได้ เราจึงแนะนำให้บริหารงบแบบ Zero-based budgeting (การตั้งงบประมาณฐานศูนย์) การโอนงบประมาณแบบนี้ คือ การเรียกงบประมาณที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายมาทั้งหมด ทั้งงบลงทุน งบดำเนินงาน และงบร่ายจ่ายอื่น เช่น งบรายจ่ายที่ปรึกษา งบเดินทางไปราชการต่างประเทศ และงบจัดงานมหกรรม นิทรรศการ อบรม งานประชาสัมพันธ์ งบส่วนนี้เราเสนอให้ตัดทั้งก้อน ไม่จำเป็นต้องตัด 10% เพราะไม่สามารถนำงบมาใช้ได้อยู่แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ งบส่วนที่ไม่ควรตัดแม้แต่บาทเดียว เช่น งบดูแลผู้สูงอายุ หรือผู้พิการของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สรุปการตั้งงบประมาณฐานศูนย์ คือการนำงบประมาณที่เหลือยู่ทั้งหมด ลบด้วยรายจ่ายประจำ เช่นเงินเดือนข้าราชการ เงินบำเหน็จบำนาญ จากนั้นเหลือเท่าไหร่ ก็มาพิจารณาทีละโครงการ หากไม่จำเป็น ก็ตัดทั้งโครงการ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลควรทำ” โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า หากใช้มาตรฐานตัดงบ 10% เราก็จะตัดงบจากกระทรวงกลาโหมได้น้อย ซึ่งข้อมูลจากกรมบัญชีกลางเปิดเผยว่า อัตราการเบิกจ่ายของงบลงทุนของกระทรวงกลาโหมต่ำมาก และอยากให้ย้อนหลังไปดูงบ 2562 หากมีสัญญาการซื้ออาวุธใด ๆ แม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่ามีการทำสัญญาไปแล้ว ก็ต้องรื้อมาดู ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีการส่งมอบ ควรจะไปเจรจาเพื่อลดออเดอร์ลง ขอแก้ไขสัญญาซื้อสินค้าชนิดอื่น หรือเลื่อนการซื้อขาย

“ดังนั้นหลักคิดในการโอนงบ 2563 คือ ใช้งบประมาณฐานศูนย์ คือ อะไรที่จำเป็นไม่ตัด แต่อะไรที่ไม่จำเป็นต้องตัดให้เหี้ยน โยกมาทั้งก้อน อย่ามาถือโอกาสใช้แนวคิดเท่าเทียม ตัด 10% เหมือนกันหมด” โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว


ส่วนงบกลางในส่วนเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น สามารถเพิ่มจำนวนได้หรือไม่ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า สามารถทำได้ และควรเพิ่มเงินในส่วนนี้ด้วย ทั้งนี้ในปี 2564 หากรัฐบาลจะขอเพิ่มงบในส่วนนี้ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเราไม่รู้ว่าใน 1 ปี เราจะเผชิญภัยพิบัติ หรือเหตุฉุกเฉินเรื่องใด จึงต้องมีเงินส่วนนี้สำรองไว้ใช้จ่าย ซึ่งในวันนี้เราเห็นชัดเจนว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มจะลากยาว และส่งผลกระทบไปอีกหลายเดือน หรือเป็นปี รัฐบาลจึงมีภารกิจสำคัญ 3 ประการ คือ การควบคุมการระบาด การยกระดับขีดความสามารถทางสาธารณสุข และการเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งนี้จากสถิติปี 2562 พบว่า ตัวเลขผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีทั้งหมด 3,084,290 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงานรวม 13,950,241 คน หากคนเหล่านี้ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้ จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน

“สิ่งที่อยากเห็นในงบประมาณปี 2564 คือ การมีงบความมั่นคงใหม่ เปลี่ยนความมั่นคงทางการทหารมาเป็นความมั่นคงทางสาธารณสุข เปลี่ยนอาวุธมาเป็นยารักษาโรค วันนี้ไอเอสประกาศยุติการก่อการร้าย และขบวนการบีอาร์เอ็นประกาศยุติการยิง เพราะต่างฝ่ายก็ทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า วันนี้ความมั่นคงที่ทุกคนต้องเผชิญ คือ ความมั่นคงด้านสาธารณสุข ไม่ใช่ความมั่นคงด้านการทหารอีกต่อไป และไวรัสไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าคุณจะมีชื่อเสียงหรือไม่ก็ตาม” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า พรรคก้าวไกลจะเสนอแนวทางการโอนงบประมาณ 2563 และการจัดสรรงบประมาณ 2564 ซึ่ง ส.ส.ที่อยู่ในกรรมาธิการงบประมาณ จะติดตามการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด หากรัฐบาลยังใช้วิธีบวก ๆ ลบ ๆ  งบประมาณ 2563 ถือว่ารัฐบาลยังส่งการบ้านแบบเดิม ทั้งที่สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม ดังนั้นหากยังไม่แก้ไข การพิจารณาในวาระ 1 คงโหวตให้ผ่านไม่ได้ 

“สิ่งที่เราอยากจะเตือน คือ กระทรวงกลาโหม เป็นกระทรวงที่มีสัดส่วนของงบผูกพันสูงมาก ในปี 2564 เราคาดหวังว่าจะไม่เห็นงบผูกพันใด ๆ ของกระทรวงกลาโหม ยกเว้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายและชีวิตของประชาชน เราไม่อยากเห็นงบการจัดซื้ออาวุธที่ไม่จำเป็น รวมไปถึงไม่อยากเห็นงบอีเว้นท์ สัมมนา นิทรรศการ อบรม การเดินทางไปต่างประเทศ เพราะสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ไม่จบในเร็ว ๆ นี้แน่” โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ลิณธิภรณ์” แจงปมสะกดคำผิด ยอมรับผิดพลาดพร้อมแก้ไข

กระทรวงวัฒนธรรม 4 ก.ค.- “ลิณธิภรณ์” ยอมรับดรามาใช้ภาษาไทยสะกดคำผิด พร้อมแก้ไขปรับปรุงตัว รับปากจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก บอก บางครั้งรีบพิมพ์ไม่ได้ตรวจทาน ทำเกิดผลเสียทุกวันนี้ แจงมีปัญหาสุขภาพ อาจทำให้ออกเสียงควบกล้ำไม่ได้ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงดรามาเรื่องการใช้ภาษาไทยในโซเชียลมีเดีย ว่า ตนขอยอมรับอย่างซื่อตรง ว่าบางครั้งในการสะกดคำของตนเองก็มีความผิดพลาด ซึ่งบางครั้งใช้การพิมพ์ด้วยเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือ และได้โพสต์ข้อความไปแล้ว ก่อนจะมารู้ตัวอีกทีก็ผ่านไป 2-3 ชั่วโมง มันเป็นความผิดพลาด อันนี้ตนยอมรับด้วยความจริงใจ และวันนี้ตนก็เข้าใจดีว่าเมื่อมานั่งตำแหน่งตรงนี้ สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือต้องปรับปรุง และคิดว่าหลังจากนี้ความผิดพลาดเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะตนก็อยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กและเยาวชน ของประเทศเหมือนกัน รวมถึงอีกสิ่งที่ตนอยากจะบอกคือการออกเสียงควบกล้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบ จากปัญหาสุขภาพ แต่ส่วนหนึ่งตนก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า วันนี้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในภาพนโยบายใหญ่ คงต้องขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยใน รายละเอียดที่ชัดเจน และจะเข้ากระทรวงพร้อมกันในวันที่ 8 กรกฎาคม สำหรับตนหากใครที่เคยติดตาม ก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ พูดเรื่องการศึกษาในส่วนของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่เป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเรื่องการลดค่าสอบทีแคส (TCAS) รวมถึงเรื่องการทำโครงการ ด้านสุขภาพภาวะจิต และอาจจะเป็นโครงการหนึ่งที่ตนจะสานต่อ […]

มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ที่บราซิล

ทำเนียบ 3 ก.ค.-มอบ “จิราพร” เข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 17 ที่บราซิล 6-7 ก.ค.นี้ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS ครั้งที่ 17 ระหว่างวันที่ 6 – 7 กรกฎาคม 2568 ร่วมกับผู้นำจาก 10 ประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS และประเทศหุ้นส่วนจากหลากหลายประเทศ ที่นครรีโอเดจาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล โดยไทยเข้าร่วมในฐานะประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS (Partner Country) สำหรับการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “เสริมสร้างความร่วมมือโลกใต้เพื่อการสร้างธรรมาภิบาลที่ครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยบราซิลในฐานะประธานกลุ่ม BRICS ปีนี้ ให้ความสำคัญกับประเด็นหลัก 6 ด้าน ได้แก่ (1) สาธารณสุข (2) การค้า การลงทุน และการเงิน (3) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (4) ธรรมาภิบาลของปัญญาประดิษฐ์ […]

Hun Sen, at event marking ruling party's 74th founding anniversary

ฮุน เซน เรียกร้องปั๊ม ปตท. งดนำเข้าน้ำมันจากไทย

พนมเปญ 3 ก.ค.- นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเรียกร้องให้เจ้าของปั๊ม ปตท.เลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าจากประเทศอื่นแทน สื่อของกัมพูชารายงานว่า นายฮุน เซน พูดถึงเรื่องนี้ในระหว่างการประชุมกับครูและนักเรียนที่ศูนย์การศึกษาและฝึกอบรมในจังหวัดไพรแวงในวันนี้ เรียกร้องให้เจ้าของปั๊มน้ำมัน ปตท.ทุกแห่งในกัมพูชาเลิกนำเข้าน้ำมันจากไทย และหันไปนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นจากเวียดนาม  มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อปั๊ม แม้ว่า ปตท.จะเป็นรัฐวิสาหกิจของไทยก็ตาม นอกจากนี้นายฮุน เซนยังพูดถึงเรื่องที่ไทยเคยขู่ว่าจะตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต ห้ามขายเชื้อเพลิง และอื่นๆ ให้กัมพูชาด้วยว่า เมื่อไทยขู่มากัมพูชาก็ตอบโต้ทันที กัมพูชาต้องพึ่งพาตนเองให้ได้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามในอนาคตเหมือนกับที่กำลังเผชิญจากไทยในเวลานี้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากไทย แต่กัมพูชาก็ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ของกัมพูชา ประธานวุฒิสภากัมพูชาเน้นย้ำว่า มาตรการทั้งหมดที่กัมพูชาได้ดำเนินไปนั้นเป็นการตอบโต้โดยตรงกับภัยคุกคามจากฝ่ายไทย รวมทั้งการที่ไทยปิดด่านพรมแดนแต่เพียงฝ่ายเดียว เขาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า การเจรจากับไทยจะเริ่มขึ้นได้ ต่อเมื่อฝ่ายไทยจะต้องยอมเปิดด่านทุกจุดอย่างเต็มรูปแบบเหมือนที่เคยทำก่อนวันที่ 7 มิถุนายนแล้วเท่านั้น.-816(814).-สำนักข่าวไทย

เปิด 7 จุดยืน “ปชน.” ทางออกประเทศหาก “แพทองธาร” พ้นเก้าอี้

กรุงเทพฯ 4 ก.ค. – พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “แพทองธาร” พ้นตำแหน่ง เปิดเงื่อนไขโหวตนายกฯ คนใหม่ พรรคประชาชนโพสต์เฟซบุ๊กแสดง 7 จุดยืน หาก “นายกฯ แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่ง เพื่อนำพาประเทศไปสู่ทางออกที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับประชาชนทุกคน ดังนี้ 1.สิ่งที่ประเทศต้องการมากที่สุด คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีความชอบธรรม และสามารถตั้งทีมบริหารจากความรู้ความสามารถ ไม่ใช่จากการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง2.รัฐบาลที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าวจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากสภาชุดปัจจุบัน ทางออกสำหรับประเทศจึงเป็นการจัดให้มี “การเลือกตั้งใหม่” โดยเร็ว3.รักษาการนายกฯ ควรประกาศให้ชัดเจนว่าจะใช้อำนาจที่ตนเองมี ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้ง4.หากรักษาการนายกฯ ไม่ทำ และมีเหตุใดที่ทำให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง กระบวนการในการเลือกนายกฯ คนใหม่ จะต้องนำไปสู่การได้มาซึ่งนายกฯ ที่พร้อมเดินหน้าสู่การยุบสภา5.เพื่อให้ประเทศไม่ถูกบีบไปสู่ทางตันหรือการใช้อำนาจนอกครรลองประชาธิปไตย เราพร้อมจะพิจารณาลงมติให้กับผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่คนใดก็ตาม ที่ยอมรับ “เงื่อนไข” ในการเป็นรัฐบาลชั่วคราว โดยทางพรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและจะไม่มีใครจากพรรคประชาชนไปเป็นรัฐมนตรี 6.“เงื่อนไข” ในการเดินหน้าสู่การยุบสภา สำหรับนายกฯ คนใหม่ จะต้องประกอบไปด้วยอย่างน้อย6.1 การประกาศเส้นตายว่าจะยุบสภาภายในสิ้นปี6.2 การยืนยันภารกิจเฉพาะหน้าที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว (เช่น การดำเนินการให้มีการจัดประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง เพื่อถามประชาชนเรื่องการมี […]

ข่าวแนะนำ

ทลายบ่อนกลางกรุง พบเจ้ามือเป็นชาวกัมพูชา

กทม. 4 ก.ค.-“ภูมิธรรม” เอาจริง สั่งจัดระเบียบสังคมทันที หลังรับตำแหน่ง มท.1 ประเดิมงานแรก สั่งการชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง บุกทลายบ่อนพนันกลางกรุง หลังมีประชาชนร้องเรียน พบเจ้ามือเป็นชาวกัมพูชา วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เวลา 15.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดปฏิบัติการ “ปิดบ่อนสะพานใหม่” จับกุมบ่อนการพนันกลางกรุง โดยชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง พร้อมด้วย นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายเรืองลักษณ์ เรืองยังมี ผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ นายอิสรา เจริญศรี ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน และนายศักดิ์ชัย โรจนรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สนธิกำลังพนักงานฝ่ายปกครอง พร้อมด้วยสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ทลายบ่อนการพนันขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนสะพานใหม่ เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร […]

ทบ.ยันไม่รุนแรง เหตุทหารไทยเจอทหารเขมร

กองทัพบก 4 ก.ค.-ทบ.ยันไม่รุนแรง เหตุทหารไทยเจอทหารเขมร หลังลาดตระเวนพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บ่อยขึ้น จากกรณีเฟซบุ๊กเพจ “Army Military Force” โพสต์คลิปทหารพรานของไทยปะทะคารมกับทหารกัมพูชา ที่กำลังพยายามรุกลํ้าเข้ามาในดินแดนไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีอาวุธปืนครบมือนั้น พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารีว่า ชุดลาดตระเวนของกองร้อยทหารพรานที่ 2304 ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ได้ทำการลาดตระเวนพื้นที่ ตรวจพบความเคลื่อนไหวของกำลังทหารกัมพูชา ในบริเวณจุดชมวิวภูผี ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามแนวชายแดน ใกล้บริเวณปราสาทโดนตวล และเขาพระวิหาร และบริเวณเส้นทางลาดตระเวนใกล้เคียง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายไทยมีการลาดตระเวนตรวจตราอย่างต่อเนื่อง จึงได้เข้าทักทายเจรจากัน และแยกย้ายกันไป ไม่มีเหตุความรุนแรงใด พล.ต.วินธัย กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมา หลายจุดพบกำลังทหารกัมพูชามาลาดตระเวนในพื้นที่อ้างสิทธิ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา บ่อยขึ้น และบางครั้งมีเจ้าหน้าที่ระดับผู้บังคับหน่วยของกัมพูชาร่วมลงพื้นที่ด้วยตนเอง เมื่อมาพบเจอกับฝ่ายทหารไทยก็จะมีพูดทักทายกัน และบางครั้งก็อาจจะมีแสดงออกทางอารมณ์ในลักษณะเหมือนถกเถียงกันบ้าง แต่ทั้งหมดไม่ถึงขั้นตั้งใจจะใช้ความรุนแรงต่อกัน เพราะต่างฝ่ายต่างระมัดระวังไม่ให้มีการละเมิดข้อตกลง และต้องยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี ตามแนวทางผู้บังคับบัญชา.-313.-สำนักข่าวไทย

นักธรณีวิทยา​ย้ำไม่มีสัญญาณ​สึนามิ​เข้าไทย​ ไม่ต้องตระหนก

กรุงเทพฯ​ 4 ก.ค. – ผู้เชี่ยวชาญทางธรณีวิทยา ย้ำขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณทางวิทยาศาสตร์​บ่งชี้ว่า​จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจทำให้เกิดคลื่นสึนามิซัดเข้าสู่ประเทศไทย​ จากกรณีเกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่องบริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์และสุมาตรา ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก แนะติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง ศ.ดร.สันติ ภัยหลบลี้ อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้แจงว่า แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วง​ 1-2​ สัปดาห์ที่ผ่านมา บริเวณใกล้หมู่เกาะนิโคบาร์และสุมาตรา เป็นการเลื่อนตัวในแนวราบ ไม่ใช่แนวดิ่ง จึงไม่เข้าลักษณะที่จะทำให้เกิดคลื่นสึนามิได้ ขณะเดียวกัน จากการติดตามข้อมูลยังไม่พบสัญญาณทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า​ จะมีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในแนวดิ่ง ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเกิดคลื่นสึนามิ ศ.ดร.สันติ กล่าว​ว่า​ ก่อนหน้านี้​เรารู้​จักแนวมุดตัวของเปลือก​โลก​บริเวณ​หมู่เกาะ​นิโคบาร์​-สุมาตรา ที่หากมีการเคลื่อนตัวจะมีโอกาส​เกิดสึนามิ​ แต่ล่าสุด​พบ​ว่า​ มีแนวภูเขาไฟ​ใต้น้ำ​บริเวณ​หมู่เกาะ​สุมาตรา​ที่​ไม่เคยปะทุมาก่อนและบอกไม่ได้​ว่าจะปะทุ​เมื่อ​ใด ซึ่งนักธรณีวิทยา​และหน่วยงาน​ด้านภัยพิบัติ​จะต้องติดตาม​อย่างต่อเนื่อง​ต่อไป​ ทั้งนี้ แม้ในอดีตจะเคยเกิดสึนามิจากรอยเลื่อนสุมาตราที่เกิดการมุดตัวของเปลือกโลก​ แต่ย้ำว่า​ เหตุการณ์ปัจจุบันไม่มีตัวชี้วัดในลักษณะเดียวกัน จึงขอให้ประชาชนอย่ากังวลเกินควร อย่างไรก็ตาม การตื่นรู้ต่อภัยพิบัติเป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะการใช้เครื่องมือสื่อสาร เช่น แอปพลิเคชันกรมอุตุนิยมวิทยา การติดตามข้อมูลจากภาครัฐ และระบบแจ้งเตือนภัยในท้องถิ่นเช่น Cell Broadcast​ ที่​ภาครัฐ​เร่งดำเนินการ​สำหรับ​แจ้ง​เตือน​ภัยพิบัติ​ต่าง​ ๆ ให้​ครอบคลุม​ทั่วประเทศ​ ทั้งนี้ ​การเตรียมความพร้อมคือเรื่องสำคัญ รัฐเองก็พยายามส่งสัญญาณให้ถึงประชาชนโดยเร็ว […]

“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม

ก.วัฒนธรรม 4 ก.ค.-“แพทองธาร” หารือผู้บริหาร ก.วัฒนธรรม แจงข่าวปลอมไทยคืนวัตถุโบราณ 20 รายการ ให้กัมพูชาไม่จริง ชี้ทำตั้งแต่ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” พร้อมสั่งเบรกจัดสรรงบฯ คืนวัตถุโบราณกัมพูชา จ่อแจ้งความคนปล่อยเฟกนิวส์ ปลุกปั่น “กลุ่มปราสาทตาเมือน” ยันอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยไทย ช่วงบ่ายวันนี้ (4 ก.ค.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรก มีข้อที่อยากจะฝากเอาไว้ และอยากจะให้ช่วยกันผลักดัน รวมถึงอยากจะอัปเดตข้อมูลให้ฟัง ซึ่งวันนี้ตนได้ทำการบ้านมาเล็กน้อย และรู้สึกดีใจที่จะได้ฟังจากทุกคนว่า แต่ละหน่วยงานแต่ละฝ่ายทำอะไรกันอยู่บ้าง และในกระทรวงฯ มีอะไรที่อยากให้ดำเนินการเพิ่มเติมบ้าง ประเด็นแรก อยากจะขอชี้แจงเรื่องข่าวปลอม เรื่องการส่งคืนวัตถุโบราณ จำนวน 20 รายการ ให้กับประเทศกัมพูชา ตนขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการคืนวัตถุโบราณให้กับประเทศกัมพูชา มีมาตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งประเทศไทยได้คืนไปแล้ว […]