ทำเนียบฯ 31 มี.ค.- นายกฯ สั่งทำความเข้าใจกับประชาชนกรณีเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาทเวลา 3 เดือน ชี้หากไม่เข้าข่ายและได้รับสิทธิ์ จะต้องถูกเรียกเก็บเงินคืน ยืนยันยังไม่คิดยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้น หากยังควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ขู่ประชาชนลดการเดินทางเคลื่อนย้าย ไม่เช่นนั้นอาจปิดให้บริการระบบขนส่งมวลชนทั้งหมด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาทจำนวน 3 เดือนให้กับผู้ที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนในเบื้องต้นแล้ว 20 ล้านคน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้รับเงินทั้งหมด เพราะจะต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติเข้าหลักเกณฑ์การช่วยเหลือหรือไม่ โดยจะให้กระทรวงการคลังชี้แจงถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งผู้ที่ประกอบอาชีพรายวัน และอาชีพอิสระ นอกจากนี้จะมีมาตรการติดตามตรวจสอบด้วยระบบ AI วิเคราะห์คุณสมบัติ หลังจากที่มีการลงทะเบียนไปแล้ว หากคุณสมบัติตรง จะโอนเงินเข้าสู่ระบบทันที
“ไม่ได้หมายความว่าผู้ลงทะเบียนจำนวน 20 ล้านคนจะได้รับเงินเยียวยาทั้งหมด อยากให้ทุกคนเข้าใจด้วย โดยคนที่คุณสมบัติไม่มีครบ ก็จะถูกคัดแยกออกไป จะมีการตรวจสอบได้ภายหลังว่ามีการกรอกข้อมูลเท็จ ลงหวังฟลุ๊คแล้วรับเงินเยียวยาไปแล้วก็จะถูกรัฐเรียกเก็บเงินคืนในภายหลัง ดังนั้นจึงขอให้ผู้ที่มาลงทะเบียนเข้าใจสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขด้วย รัฐบาลเข้าใจความรู้สึกของประชาชนทุกคนว่าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด แต่ขออย่าไปตัดโอกาสกับคนที่เดือดร้อนจริง ๆ และสำหรับประชาชนที่เดือดร้อนและยังไม่เข้าข่าย รัฐบาลก็มีมาตรการช่วยเหลือ ในระยะที่ 3 และ 4 จะมีการปรับมาตรการช่วยเหลือในทุก 3 เดือน” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพบมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้น หลังมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาครบ 7 วัน ว่า หากมองอีกมุมหนึ่ง ทำให้เห็นว่ามาตรการคัดกรองของรัฐบาลมีประสิทธิภาพ ประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมาพบแพทย์มากขึ้น แต่หากใครไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและไม่ได้เข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ก็ไม่จำเป็นจะต้องมาตรวจเชื้อ เพราะรัฐมีความจำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เพียงพอกับผู้ที่ติดเชื้อจริง ๆ
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนในการดูแลการแพร่ระบาด โดยเฉพาะการเข้า-ออกพื้นที่เสี่ยงที่มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก รวมถึงการห้ามจำหน่ายสุรา เล่นกีฬา และเล่นการพนัน หากพบจะต้องถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด เพราะให้อำนาจในการตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ไปแล้วตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ส่วนกรณีสินค้าที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ในช่วงนี้จากการฉวยโอกาสของร้านค้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้สั่งการไปแล้ว หากประชาชนพบเห็นสามารถแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตามด่านตรวจต่าง ๆ ให้ไปตรวจสอบและดำเนินการได้ทันที รวมถึงกรณีของหนี้นอกระบบที่เกิดขึ้นมากในช่วงนี้จากปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตามด่านตรวจได้เช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่จะช่วยไกล่เกลี่ย เพื่องดการผ่อนชำระ หรือให้เก็บดอกเบี้ยในอัตราที่กฎหมายกำหนด หากฝ่าฝืน จะดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมถึงบริการขนส่งอาหาร LINE Man และ Grab จะต้องทำตามระเบียบตามกระทรวงสาธารณสุข ป้องกันไม่ให้มีการแพร่เชื้อไปยังผู้บริโภค
“มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมไปปรับวิธีการให้บริการให้เกิดความเหมาะสม ทั้งรถไฟฟ้า รถประจำทาง และรถไฟ หากยังมีการเคลื่อนย้ายคนเป็นจำนวนมาก ก็ต้องมีการปรับลด และหากยังคุมไม่ได้ ก็อาจจะต้องมีการสั่งปิดทั้งหมด จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ซึ่งการพิจารณาประเมินผลการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ได้มีการทำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว จะมีการทบทวนทุกสัปดาห์ ในส่วนของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กฎหมายให้อำนาจใช้คราวละ 3 เดือน แต่ขณะนี้ประกาศใช้เพียงแค่ 1 เดือนก่อน หากยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จะต้องมีการขยายระยะเวลาต่อไปเรื่อย ๆ แต่ยังไม่มีแนวโน้มยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะมาตรการต้องเข้มข้นตามลำดับ และมาตรการการเข้า-ออกประเทศ ยังคงเป็นไปตามมาตรการที่กำหนดไว้” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังได้แสดงความเป็นห่วงพระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ที่วัด จึงอยากให้มีการวางมาตรการป้องกัน ทั้งการใส่บาตรและการทำบุญ เพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดในกลุ่มพระสงฆ์ และยังขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลออกมา และขอให้ประชาชนทุกคน รักษาสุขภาพด้วย.-สำนักข่าวไทย