“วิษณุ” ชี้หากประชาชนไม่ร่วมมือรัฐ เตรียมใช้มาตรการเข้ม

ทำเนียบฯ 30 มี.ค.-ศบค.แถลงสถานการณ์โควิด-19 “วิษณุ” รองนายกฯ ชี้หากประชาชนไม่ร่วมมือรัฐ เตรียมใช้มาตรการเข้ม ย้ำปรับรูปแบบส่งหน้ากากอนามัยใหม่ เน้นส่งให้เฉพาะ สธ. และ มท.เท่านั้น


นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงผลผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เป็นประธาน ว่า หลังจากมีการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ถือว่ามีผลเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับตัวเลขของผู้ติดเชื้อ ก็ยังไม่พอใจ จึงขอความร่วมมือประชาชนให้ความร่วมมือ อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลอาจต้องนำไปสู่มาตรการที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากเห็นว่าวันเสาร์-วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ยังคงมีการใช้รถใช้ถนนออกนอกบ้าน กิจกรรมสังสรรค์บางประเภทก็ยังมีอยู่ แม้จะเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

“วันนี้ได้ขอความร่วมมือไปยังสถานีโทรทัศน์ทุกช่องให้ยกเลิกการถ่ายทอดสดการชกมวย เพราะแม้ว่าจะไม่มีคนดู แต่ก็ยังคงอันตรายต่อนักมวย และคนที่ติดตามเชียร์อยู่ทางบ้าน อาจมีการรวมตัวกันเชียร์และมีกิจกรรมดื่มสุราร่วมกัน จึงขอให้งดกิจกรรมดังกล่าวทั้งหมด กิจกรรมที่มีประชาชนแจ้งทางสายด่วน คือ การแข่งเรือเจ็ทสกีในแม่น้ำเจ้าพระยา, วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งมีความเสี่ยง ต้องใส่หน้ากาก, การใส่บาตรพระโดยเฉพาะ การจกข้าวเหนียวใส่บาตร ซึ่งอันตรายอย่างมาก, การทำวัตรเช้า-เย็น ที่ต้องนั่งรักษาระยะห่างในวัดที่มีความแออัด, กองถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีการรวมตัวของคน ควรมีมาตรการที่เข้มข้น” นายวิษณุ กล่าว


นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม ศบค.ยังได้หารือถึงการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย โดยขอชี้แจงให้ประชาชนทราบว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้ลบภาพหน้ากากในสตอก 200 ล้านชิ้น เพราะบางส่วนเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ขอชี้แจงให้เข้าใจตรงกันว่ากำลังการผลิตของประเทศในขณะนี้มี 11 โรงงาน สามารถผลิตได้ 2,300,000 ชิ้นต่อวัน ทางรัฐบาลมีการบริหารจัดการ ด้วยการจัดแผนบริหารจัดการรายวัน โดยเริ่มตั้งแต่วันนี้ (30 มี.ค.) เป็นต้นไป คือ หน้ากากจะถูกแบ่งเป็น 2 ทาง ซึ่งบริษัทไปรษณีย์ไทยจะมีรถ 40 คัน ส่งตรงจากโรงงานไปยัง 2 เส้นทาง เส้นทางแรก สายกระทรวงสาธารณสุข จะได้รับหน้ากาก 1,300,000 ชิ้น ส่งให้บุคลากรทางการแพททย์ทั่วประเทศแจกรายจังหวัด ส่งตรงไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด แพคละ 1,000 ชิ้น เส้นทางที่ 2 คือ กระทรวงมหาดไทย รถจะนำไปส่งยังผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 76 จังหวัด รวมกรุงเทพมหานคร โดยจะแจกให้กับ อสม. เจ้าหน้าที่บริการประชาชน เจ้าหน้าที่อำเภอ ศูนย์ดำรงธรรม เจ้าหน้าที่บริการที่มีความเสี่ยง พนักงานจขนขยะ ตำรวจ ทหาร และกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ เด็ก เป็นต้น

“ทั้งหมดนี้ยังไม่มีแจกประชาชนและส่งไปยังร้านค้า ขอให้ประชาชนอดทน ไป 1 เดือน เพราะจะส่งแบบนี้ทุกวันไปยัง 2 เส้นทางเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่จำเป็นเร่งด่วนได้ใช้ก่อน ส่วนการส่งออกไปต่างประเทศ ขณะนี้มีเพียง 3 เงื่อนไข คือ ส่งออกเพราะมีนโยบายของการส่งเสริมการส่งออก หรือบีโอไอ แต่สามารถใช้ ม.47 สั่งห้ามส่งออกได้ เงื่อนไขที่ 2 คือ ส่งเพราะเงื่อนไขทรัพย์สินทางปัญญาที่ส่งวัสดุมาจ้างไทยผลิต เงื่อนไขที่ 3 คือ FTA ระหว่างประเทศต่อกัน” นายวิษณุ กล่าว

นายวิษณุ กล่าวถึงการนำเข้าหน้ากากอนามัย ขณะนี้ยกเว้นภาษีการนำเข้าเป็นศูนย์ ส่วนยาเวชภัณฑ์และเครื่องตรวจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายยกเลิกการเก็บภาษีในช่วงเวลานี้ สำหรับหน้ากาก N95 เวชภัณฑ์ จำเป็นที่ต้องตรวจ อย.จะใช้เวลาตรวจไม่เกิน 1 วัน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ใช้เวลาไม่เกิน 5 วัน


ส่วนการจำหน่ายไข่ไก่เกินราคา นายวิษณุ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์จะเพิ่มความเข้มข้นตั้งแต่ต้นทาง คือ ฟาร์ม พ่อค้าคนกลาง จะควบคุมราคาและห้ามส่งออก ดังนั้น เมื่อไม่มีการส่งออก ประเมินว่าอีกไม่กี่วันไข่ไก่จะล้นตลาด จึงขอความร่วมมือประชาชนอย่ากักตุน

“ขอย้ำว่าจากนี้ขอไม่ให้มารวมตัวกันและชุมนุมกัน การประชุมบางอย่างสามารถเลื่อนได้ และการประชุม ครม.จะประชุมผ่านเทเลคอนเฟอเรนซ์ ส่วนกรณีพรรคการเมืองที่ต้องมีการประชุมใหญ่วิสามัญ กกต.อยู่ระหว่างการพิจารณา ขอให้รอการชี้แจงต่อไป” นายวิษณุ กล่าว

ส่วนคนไทยที่จะเดินทางกลับจากต่างประเทศ นายวิษณุ ยืนยันว่า ข่าวที่ระบุว่ากระทรวงการต่างประเทศจะจัดเครื่องบินไปรับที่อิตาลี 7,000 คน ไม่เป็นความจริง ยอมรับบางประเทศอยู่ระหว่างประสานจะมารับประชากรของประเทศนั้น ๆ กลับ เบื้อต้นประสานมา 7 ประเทศด้วยกัน

ด้านนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการปิดด่านพรมแดนเข้า-ออกทางบกของประเทศไทย จะส่งผลให้คนไทยเดินทางกลับประเทศไทยได้หรือไม่นั้น ยืนยันว่า ไม่ว่าคนไทยจะอยู่ที่ไหน สามารถเดินกลับประเทศไทยได้ เพียงแต่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด คือ ต้องมีหนังสือรับรองการเดินทางกลับไทยโดยสถานทูตฯ หรือ สถานกงสุลใหญ่ออกให้ และต้องมีใบรับรองแพทย์ ยืนยันว่ามีสุขภาพพร้อมจะเดินทาง แต่หากเดินทางด้วยอากาศยานต้องผ่านจุดคัดกรองที่สนามบิน และถ้าพบมีไข้ ต้องเข้ารับการตรวจรักษาทันที และเพื่อสร้างความมั่นใจ ทุกคนที่เดินทางกลับเข้าประเทศจะต้องถูกกักตัวเพื่อเฝ้าดูอาการตามข้อกำหนด

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า ส่วนระดับท้องที่จะต้องมีการลงทะเบียน หากเดินทางเข้าพื้นที่แต่ละจังหวัด ทั้งนี้  กระทรวงมหาดไทยได้ใช้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ประกอบการพิจารณาในแต่ละจังหวัด โดยล่าสุดผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อระดับจังหวัด ได้สั่งปิดการเข้า-ออก จ.ยะลา , ปัตตานี , นราธิวาส และหยุดระบบขนส่งทั้งหมด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19  พร้อมขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือ โดยขณะนี้มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ อสม. ปฏิบัติงานอย่างเข้มข้นถึง 1.2 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายของการแถลงข่าว สื่อมวลชนได้สอบถามข้อเท็จจริที่ระบุว่า มีเจ้าหน้าสาธารณสุขติดเชื้อโควิด 19 และมาทำงานที่ทำเนียบฯ จริงหรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด -19 (ศบค.) ยอมรับว่า มีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขติดเชื้อโควิด-19 เป็นชาย อายุ 46 ปี โดยเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ประสานงาน และมีการเข้า-ออก ศูนย์ ศบค. รวมถึงเข้าร่วมประชุมหลายคณะและหลายสถานที่ แต่ไม่ได้ประจำอยู่ที่ทำเนียบฯ ซึ่งทีมสอบสวนโรค พบว่ามีอาการตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม มีน้ำมูก อาการคล้ายหวัดภูมิแพ้ แต่ไม่มีไข้ โดยมีการยืนยันติดเชื้อเมื่อคืนที่ผ่านมา (29 มี.ค.) และได้กักตัวเองแล้ว พร้อมเข้ารักษาที่สถาบันบำราศนราดูร ขณะเดียวกันผู้ที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิด ส่วนใหญ่เป็นบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุข ประมาณ 30 คน ได้สั่งให้กักตัวเองเพื่อดูอาการแล้ว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า ส่วนที่ทำเนียบฯ มีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานร่วมกันบ้าง แต่พบว่าทุกคนมีการป้องกันตนเองเป็นอย่างดี จึงถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ให้ตรวจสอบตนเองด้วย ให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งและรักษาระยะห่างทางสังคม ซึ่งหากมีอาการเสี่ยงให้ไปพบแพทย์ ทั้งนี้ หากผู้สัมผัสใกล้ชิดไม่มีอาการ ถือว่าอยู่ในวงจำกัดได้ แต่หากมีอาการ กระทรวงสาธารณสุขจะต้องดูแลอย่างเข้มข้นต่อไป พร้อมกันนี้ ยืนยันไม่มีผู้บริหารระดับสูงมีความเสี่ยงติดเชื้อ หรือมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงและขอให้ทุกคนดูแลตนเองอย่างดีที่สุด ทั้งเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชน โดยขอให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ด้วย.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]