กสม. 23 มี.ค.- กสม.ออกแถลงการณ์เสนอรัฐบาลวางแนวทางจัดการการสื่อสารในภาวะวิกฤตอย่างเป็นระบบ ป้องกันประชาชนสับสน ขณะที่ การใช้มาตรการล็อคดาวน์ ควรวางแผนอย่างรอบคอบ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์เรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ฉบับที่ 2 เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา หลังพบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศขยายตัวสูงขึ้น คือนายกรัฐมนตรีควรมีอำนาจเต็มในการแก้ไขปัญหา บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาให้มีแนวทางการจัดการในทิศทางเดียวกัน วางแนวทางจัดการ “การสื่อสารในภาวะวิกฤต” อย่างเป็นระบบ การเผยแพร่คำสั่ง หรือมาตรการใด ๆ ควรออกมาจากแหล่งเดียวกัน ป้องกันประชาชนสับสน จนนำไปสู่ความตื่นตระหนก
แม้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าฯ กทม. จะมีอำนาจในการสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ก็พึงกระทำด้วยความรอบคอบ และไม่เลือกปฏิบัติ พร้อมกำหนดมาตรการเยียวยาอย่างเป็นธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น ผู้ใช้แรงงาน ต้องหยุดงานตามคำสั่ง เป็นเหตุให้เดินทางกลับภูมิลำเนาในต่างจังหวัด เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคต่อคนใกล้ชิดในท้องถิ่น แม้กรมควบคุมโรคจะมีหนังสือขอความร่วมมือ ในการจัดทำแผนปฏิบัติการค้นหา เฝ้าระวัง และป้องกันโรค ระดับอำเภอและหมู่บ้าน แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้งว่า ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า หรือ คอมมูนิตี้มอลล์ เป็นแหล่งแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด-19 จนถึงกับต้องสั่งปิดสถานประกอบการดังกล่าว
แถลงการณ์ยังระบุว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน หากรัฐบาลจะพิจารณานำยุทธการปิดเมือง หรือ ล็อคดาวน์ มาใช้ในพื้นที่และช่วงเวลาที่กำหนด พึงระมัดระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ควรวางแผนอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของรัฐ ในกลุ่มคนยากจนในเมือง และประชาชนควรแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งมาตรการของรัฐบาล เพื่อป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรค กสม.เชื่อมั่นว่าการดำเนินการของรัฐบาลอย่างจริงจัง และด้วยความร่วมมือของประชาชนทุกคน จะช่วยกันป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศได้ .-สำนักข่าวไทย