BIG STORY : บริษัทแห่งหนึ่งใน จ.ระยอง ฆ่าเชื้อบริษัท หลังพบผู้ป่วยโควิด-19 เข้าพื้นที่

ภูมิภาค/กทม. 11 มี.ค. – บริษัทแห่งหนึ่งใน จ.ระยอง ออกคำชี้แจงเรื่องการดูแลพนักงานและฆ่าเชื้อพื้นที่บริเวณห้องอบรม หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เดินทางมาร่วมอบรมในบริษัท โดยบริษัทได้ติดตามตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่พบพนักงานติดเชื้อ

พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี รองโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ยืนยันว่าตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตำแหน่ง ผบ.หมู่ ฝ่าย ตม.ขาเข้า ป่วยเป็นโควิด-19 จริง หลังมีการตรวจวัดไข้หลังออกเวรเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา และมีไข้สูงเกิน 37.5 องศาฯ ก่อนส่งต่อไปยังโรงพยาบาลตรวจวัดอย่างเป็นทางการ และผลออกมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ว่าติดเชื้อจริง อย่างไรก็ตาม พบเพียงมีอาการไข้ และไม่มีอาการติดเชื้อที่ปอด เพราะถึงมือแพทย์ได้เร็ว ขณะที่ผลตรวจผู้ใกล้ชิดพบว่าไม่มีอาการติดเชื้อ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติงานในเคาน์เตอร์เดียวกันก็ได้มีการตรวจและไม่พบเชื้อ แต่จำเป็นต้องกักตัว 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังตามระเบียบ

เช่นเดียวกับที่บริษัท มาบตาพุดโอเลฟินส์ จำกัด ได้ออกประกาศการดูแลพนักงานและเพิ่มความสะอาดในห้องอบรม หลังจากพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของบริษัทคู่ธุรกิจเข้าร่วมอบรมที่อาคารของบริษัท ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ทั้งที่มีการคัดกรองอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ติดตามตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และไม่พบพนักงานติดเชื้อ จึงได้ฆ่าเชื้อโดยรอบทั้งหมด โดยผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยได้เดินทางไปสังเกตการณ์ พบมีการคัดกรองเข้มข้น แต่ไม่อนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่

สำหรับภาพรวมสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมอีก 6 คน ทำให้ยอดรวมผู้ป่วยสะสมมีทั้งสิ้น 59 คน รักษาหายแล้ว 34 คน เหลือรักษาตัวในโรงพยาบาล 24 คน

สำหรับรายละเอียดทั้ง 6 คน ประกอบด้วย คนที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองประจำสนามบินสุวรรณภูมิ เพศชาย อายุ 21 ปี มีไข้ ไอ น้ำมูก ป่วยตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม คาดว่าเกิดจากการสัมผัสพาสปอร์ตนักเดินทาง คนที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสัมภาระนักเดินทางประจำสนามบินสุวรรณภูมิ เพศชาย อายุ 40 ปี มีไข้ ไอ ปวดตัว ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม คาดว่าติดต่อจากการสัมผัสสัมภาระนักเดินทาง คนที่ 3 เป็นพนักงานบริษัท เพศชาย อายุ 25 ปี ไม่มีประวัติเดินทาง แต่ป่วยปอดอักเสบ และเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค จนพบเชื้อโควิด-19 คนที่ 4 เป็นหญิงชาวไทย อายุ 27 ปี เพิ่งกลับจากเกาหลีใต้ มีไข้ ไอ น้ำมูก คนที่ 5 เป็นชายไทย อายุ 40 ปี มีประวัติเดินทางกลับมาจากญี่ปุ่น และคนที่ 6 เป็นชายชาวสิงคโปร์ อายุ 36 ปี มีอาชีพทำงานพบปะกับชาวต่างชาติ

ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค บอกว่า สถานการณ์ทั่วโลกพบระบาดรวม 115 ประเทศ และในยุโรปพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น จึงแนะนำให้เลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ระบาด พร้อมย้ำว่าขณะนี้ประเทศไทยยังเป็นการระบาดในเฟส 2 ไม่ได้มีการยกระดับเฝ้าระวังเพิ่มเติมแต่อย่างใด

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งด่วน เพื่อติดตามและรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาด หลังจากพบการแพร่ระบาดในต่างประเทศมากขึ้น หลังจากนั้นได้ร่วมแถลงข่าวร่วมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง


นายกรัฐมนตรียืนยันความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติอาจคุมสถานการณ์ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จะต้องคัดกรองทั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้น โดยเฉพาะบุคคลที่เดินทางมาจากกลุ่มเสี่ยง ซึ่งต้องคัดกรองตั้งแต่ประเทศต้นทางยันปลายทาง ยอมรับว่าขณะนี้ไม่สามารถทำตามข้อเสนอปิดประเทศ เพราะจะส่งผลกระทบหลายด้าน

ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่าเพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาด จึงสั่งยกเลิก Visa on Arrival 18 ประเทศเป็นการชั่วคราว หากนักท่องเที่ยวจาก 18 ประเทศต้องการเดินทางเข้ามาต้องไปติดต่อสถานทูตไทยและต้องแนบใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้ยังให้ยกเลิก Free Visa เป็นการชั่วคราวกับนักท่องเที่ยว 3 ประเทศ คือ อิตาลี เกาหลีใต้ และฮ่องกง ซึ่งมีสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรง จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ปกติ โดยมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนชาวต่างชาติที่เดินทางมาจาก 4 ประเทศ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ อิตาลี และอิหร่าน เมื่อผ่านเข้ามาจะต้องถูกกักตัวที่โรงแรมโนโวเทล สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเวลา 14 วัน เพื่อเฝ้าสังเกตอาการ หากไม่ยินยอมจะส่งกลับประเทศต้นทางทันที สำหรับคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยง กระทรวงคมนาคมจะจัดรถรับ-ส่งตั้งแต่สนามบินจนถึงบ้านพัก และไม่อนุญาตให้แวะส่งกลางทาง

นอกจากนี้รัฐบาลได้สั่งปิดศูนย์ควบคุมที่อำเภอสัตหีบ และในจังหวัดต่างๆ โดยผู้ที่ถูกควบคุมจะมีการส่งแพทย์ไปตรวจคัดกรองเชื้อ ก่อนส่งไปเฝ้าระวังที่บ้านพักในภูมิลำเนา โดยจะแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ไปติดตามดูแล และหากผู้ที่กลับมาไม่กักตัว หรือไม่ปฏิบัติตามจะถูกลงโทษตามกฎหมาย คือจำคุก 1 ปี หรือปรับ 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเหตุผลจำเป็นที่ต้องทำเพราะกระทรวงสาธารณสุขแนะนำว่าหากนำเอาบุคคลที่กลับจากประเทศเสี่ยง หรือบุคคลที่มีความเสี่ยงมารวมตัวกัน อาจมีโอกาสแพร่เชื้อและระบาดสูงเหมือนกับเคสของเรือ Diamond Princess

สำหรับ 3 ประเทศที่ยกเลิก Free Visa ประกอบด้วย อิตาลี เกาหลีใต้ และฮ่องกง ส่วน 18 ประเทศ และ 1 เขตเศรษฐกิจ ที่ยกเลิก Visa on Arrival  ประกอบด้วย บัลแกเรีย ภูฏาน จีน ไซปรัส เอธิโอเปีย หมู่เกาะฟิจิ จอร์เจีย อินเดีย คาซัคสถาน มอลตา เม็กซิโก นาอูรู ปาปัวนิวกินี โรมาเนีย รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย ไต้หวัน (เขตเศรษฐกิจ) อุซเบกิสถาน และวานูอาตู.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลฯ “กานต์” ส่อเข้าป้าย

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี “กานต์” หมายเลข 1 จากเพื่อไทย ส่อเข้าป้าย ด้าน ปชน. แถลงยอมรับยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ ส่วนอุตรดิตถ์ “ชัยศิริ” อดีตนายก อบจ. ส่อเข้าวิน

วัยรุ่นซิ่งเบนซ์เสียหลักพุ่งเหินฟ้าคารถ 6 ล้อ

รอดตายปาฏิหาริย์! วัยรุ่นซิ่งเบนซ์เสียหลัก ก่อนพุ่งเหินฟ้าติดคาบนรถ 6 ล้อ พลเมืองดีเข้าช่วยเหลือออกมาจากรถ ปลอดภัย

กกต.สั่งเอาผิดอาญา “ชวาล” สส.ปชน. ยื่นบัญชีใช้จ่ายเท็จ

กกต.สั่งดำเนินคดีอาญา “ชวาล” สส.ปชน. ยื่นบัญชีค่าใช้จ่ายเลือกตั้งไม่ตรงความเป็นจริง โทษหนักทั้งจำคุก-ตัดสิทธิ 5 ปี

ข่าวแนะนำ

นายกฯ​ ขอบคุณสื่อร่วมทำงาน บอกเป็นคนตรงๆ ไม่ค่อยคิดร้าย

นายกฯ​ ขอบคุณสื่อร่วมทำงาน บอกอายุน้อยที่สุดต้องสร้างความสดใสทุกวงการ​ ขอให้เข้าใจคาแรคเตอร์ส่วนตัวเป็นคนตรง-โผงผาง​ ไม่ค่อยคิดร้ายกับใคร

เลขาฯ กฤษฎีกา ยันยังไม่มีข้อสรุปปม “กิตติรัตน์”

“เลขาฯ กฤษฎีกา” ยันยังไม่ปัดตก “กิตติรัตน์” นั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ หรือไม่ เผยเตรียมประชุมคณะกรรมการร่วม สอบคุณสมบัติพรุ่งนี้

“กิตติรัตน์” เคารพการพิจารณา หลังไม่ผ่านคุณสมบัตินั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ

“กิตติรัตน์” โพสต์ข้อความ หลังไม่ผ่านคุณสมบัตินั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ลั่นไม่มีอะไรค้างคาใจ-ไม่เคยขลาดกลัวหนีหายเอาตัวรอด ระบุได้อาสาทำงานให้ประเทศแล้ว ยันเคารพการพิจารณา

ครม.เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปี

“จุลพันธ์” เผย ครม.เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลุ่มผู้สูงอายุ วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการทันก่อน 29 ม.ค.68 รวม 3 มาตรการ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ 1.4-1.5 แสนล้านบาท